แนะนำตัวกับเพื่อนๆหน่อยครับ
ชื่อเก๋ค่ะ (ยิ้ม)
เล่าให้เพื่อนๆฟังนิดนึงครับว่า ก่อนจะมาออสเตรเลียทำอะไรมาก่อนแล้วทำไมถึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ
ทำงานช่วยที่บ้านค่ะ ไม่ได้ทำงานบริษัท เหตุผลอาจไม่มีเหตุผล คือเราไม่ชอบอยู่กรุงเทพฯ คนบ้านนอกก็อย่างนี้แหละ ไม่คุ้นเคยกับเมืองใหญ่ ที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการเพราะว่า เริ่มเบื่อตัวเอง (หัวเราะ) บวกกันกับอายุที่เริ่มมากขึ้น ก็อยากลองไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองดูสักครั้ง ส่วนตัวรู้ว่ามีโครงการนี้มา 2-3 ปี แล้ว ตอนนั้นพ่ออ่านเจอในหนังสือพิมพ์ พ่อก็ถามว่า อยากลองไปมั้ย แต่ตอนนั้นไม่กล้า เพราะอ่านๆดูแล้ว เราต้องรับผิดชอบทุกอย่างเองหมดเลย ยังไม่กล้าพอ แต่พอมาถึงตอนนี้ ก็เริ่มเปลี่ยนความคิดถ้าไม่ลองออกไปเผชิญชีวิตเองบ้าง ออกไปเจอความจริงภายนอกบ้าง ก็คงไม่มีวันโตขึ้น
ทำไมคุณเก๋ถึงตัดสินใจเลือกเมลเบิร์นเป็นเป้าหมายแรกครับ
ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศออสเตรเลียดู ประมวลผลแล้ว ซิดนีย์เค้าว่า คนไทยเยอะมาก ไปถึงอาจไม่ได้พัฒนาภาษาอังกฤษมาก เหมือนอยู่กรุงเทพฯ ก็เลยคิดว่าถ้าไปแล้ว เหมือนอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่ไปดีกว่า
เมลเบิร์น เค้าว่ากันว่า คล้ายเชียงใหม่ เมืองใหญ่ แต่ก็ไม่พลุกพล่านเท่าซิดนีย์แล้วตอนนั้นก็รู้ว่า มีเพื่อนไปเรียนอยู่ที่นั่นด้วย ก็คิดว่า คงขอคำปรึกษาจากเค้าได้บ้าง ถ้าจะไปใช้ชีวิตที่นั่น ส่วนเมืองอื่นๆ ไม่มีคนรู้จักเลย
เพื่อนมีส่วนช่วยในการหางานเยอะมั้ยครับ ใช้เวลานานมั้ยกว่าจะได้งานแรก
เราไปที่นั่นคนเดียว แต่ก่อนไปก็ได้สอบถามข้อมูลจากเพื่อนที่รู้จักกันทางเนต ที่เค้าไปที่นั่นก่อน ก็ได้ข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจเรื่องงานพอสมควร
งานที่เพื่อนที่เจอกันทางเนต ที่เค้าไปทำ ก็คืองานฟาร์ม ในช่วงแรก และต่อมา เค้าก็บอกว่า งานมันหนักจริงๆ แต่เงินก็เยอะ เราก็เริ่มไม่แน่ใจว่า เราจะทำได้รึเปล่า มันจะคุ้มกันรึเปล่า ถ้าเกิดไปทำแล้ว เป็นอะไรขึ้นมา แลกกับเงิน ที่ว่าเยอะ
เป้าหมายเรา ก็ไม่ใช่เรื่องเงินเป็นหลัก ก็เลยตัดสินใจหางานอื่นก่อน ช่วงแรกก็ไปเดินเล่นตามห้าง ดูว่าเค้ามีประกาศรับสมัครงานอะไรบ้างก็เตรียม resume ไป ถ้าเห็นว่ามีรับสมัครก็ ยื่น resume ไป แล้วก็ไม่พ้นงานที่เป็นที่นิยมที่สุด ทุกยุคทุกสมัย งานในร้านอาหารไทย งานนี้ เราเดินไปสมัครเอง ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ป้าเจ้าของร้านสรุป จากที่มาถึงออสเตรเลีย จนได้งานแรก ก็ใช้เวลาประมาณเกือบหนึ่งเดือน
ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีนี้คุณเก๋ทำงานมากี่งานหรอครับ
ทำ 3 ที่ค่ะ
หายากมั้ยครับ สำหรับงานร้านอาหารไทย
ไม่ยากนะ เราว่ามันขึ้นอยู่กับจังหวะมากกว่า ตอนที่ได้งานแรกนั้น เป็นจังหวะที่ คนที่เค้าทำอยู่ เค้ากำลังจะกลับไปเมืองไทย ป้าเจ้าของร้านก็เลย ต้องหาคนมาทำแทน ระยะนึง แล้วร้านป้าก็เพิ่งเปิดเอง เราไปเป็นพนักงานคนที่สองเลย
เห็นว่างานที่สองเป็นงานในร้านของคนจีน คุณเก๋ทำหน้าที่อะไรที่นั่นครับ
งานนั้นเป็นงานในร้านขนม Puffy ที่ขายคุกกี้แบบมีไส้แต่ตัวคุกกี้ มันจะมีขนาดใหญ่พองๆ เพื่อให้ฉีดไส้เข้าไปได้ เราก็มีหน้าที่เอาก้อนคุกกี้ที่ยังไม่สุก เอาเข้าเตาอบ ให้มันแปลงร่างเป็นก้อนขนมที่ใหญ่ขึ้น เค้าจะส่งส่วนผสมมาจากโรงงานทุกเช้า เราก็ต้องทำไส้ขนมเอง จากส่วนผสมที่ส่งมา แล้วยังขาย Portuguese Egg Tart ด้วย(อร่อยมาก) ถ้าเราขายไม่หมด เค้าให้เราเอากลับบ้านได้ แต่ห้ามเอาให้คนอื่นฟรีเพราะบางวัน จะมีเด็กวัยรุ่น มาขอฟรีก็มี พนักงานรุ่นพี่(แต่อายุน้อยกว่า) ก็บอกไว้ว่า ห้ามให้เด็ดขาดนะ
หน้าที่ในร้าน ก็ทำทุกอย่างนะ ทำขนม คิดเงิน ทำความสะอาด ถ้าทำกะเย็น ก็ต้องนับเงิน เก็บเงิน เขียนใบฝากเงิน
ทำงานกับคนจีนกับคนไทยแตกต่างกันเยอะมั้ยครับ
ความแตกต่างการทำงานกับคนจีน คนไทยเหรอ...ตอนทำร้านไทย ก็พูดตรงๆ ร้านยังไม่เป็นระบบ ทำให้ทำงานยาก ยังไม่เข้าที่เข้าทาง แล้วเราก็ไม่เคยทำงานแบบนั้นมา ก็ต้องเริ่มใหม่กับพนักงานคนที่ทำมาก่อน เราก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ถ้าเค้าถูกชะตาเรา ก็โชคดีไป แต่ถ้าเกิดไม่ถูกชะตาเค้าก็แย่หน่อย เราก็ต้องใช้ความอดทนให้มากขึ้น ฝึกความอดทนอดกลั้นไป ส่วนงานก็ ทำทุกอย่าง รับออร์เดอร์ เสริฟ หั่นผัก จัดของ ไปซื้อของ บางทีก็มีเอาเงินไปเข้าธนาคารให้ด้วย เคยหั่นแครอท แล้วมีดที่เป็นหยักๆ มันบาดนิ้วนะ เนื้อที่นิ้วโป้งแหว่งไปหน่อยนึงเลย อันนี้ก็ ซุ่มซ่ามเอง แล้วในครัวก็แคบ ก็ต้องระวังเป็นพิเศษ เวลาจะทำอะไร มาเห็นร้านอาหารที่นี่แล้ว ที่เมืองไทยนี่ หรูขึ้นมาทันที ร้านอาหารที่นี่จะไม่ค่อยใหญ่ ถ้าเป็นร้านธรรมดา
ส่วนทำงานกับร้านขนมคนจีน ก็โดยรวมแล้วดีกว่าร้านแรกได้ใช้ภาษาอังกฤษ ทำงานเป็นระบบกว่า ไม่จับฉ่ายแต่ก็ต้องทำงานเร็ว ตอนไปลองงาน ชั่วโมงแรก ได้ยินแต่คำว่า “Faster Faster”ก็คิดว่า เออ เราคงไม่ได้แล้วล่ะ เราไม่ค่อยคล่อง ไม่เร็วพอ
แต่มันคงเป็นความโชคร้ายของร้านนั้น ยังไงไม่รู้ เค้าบอกให้มาทำได้ (หัวเราะ)อ้อ แล้วก็ได้ภาษาจีนด้วยนิดหน่อย
ได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานที่นี่บ้างครับ
น้ำใจ ความอดทน ความจริงใจ เราเหมือนได้ฝึกตัวเอง ให้รู้จักอดทน มันทำให้โตขึ้น และก็ต้องมีความจริงใจ มีน้ำใจ อันนี้สำคัญมาก
พูดเรื่องเครียดๆเยอะแล้ว มาคุยกันเรื่องเบาๆบ้างดีกว่า ได้ไปเที่ยวไหนมาบ้างมั้ยครับ ประทับใจที่ไหนเป็นพิเศษมั้ย
ก็ได้ไป Sydney เกือบอาทิตย์นึง ไหนๆ ก็มาถึงออสเตรเลียแล้ว ไปเมืองที่คนส่วนใหญ่ยังคิดว่าเป็นเมืองหลวงของประเทศนี้ซักหน่อยไปถึงก็มีความรู้สึกเหมือนที่บอกกันมาจริงๆ คือเหมือนกรุงเทพฯ มีรถเมล์ ฟ้า ขาว คนพลุกพล่าน คนไทยเยอะ แล้วก็ไป Blue Mountain นั่งรถไฟไป แต่ไม่มีเวลาไปไหนนอกจาก Three sistersวางแผนไม่ดีเอง
นั่งรถไฟไป ก็ได้เจอคนป้าคนนึง นั่งข้างๆ ป้าเค้าก็จะบอกว่า นี่ถึงนี่แล้วนะ คล้ายๆ เป็นไกด์ให้ คนที่นี่น่ารักก็เยอะนะ มีน้ำใจให้คนต่างชาติอย่างเรา แล้วก็แวะไป Canberra เมืองหลวงตัวจริง เงียบ สงบดี แต่เนื่องจากวางแผนไม่ดีอีกแล้ว ก็ทำให้ไม่มีเวลาไปสถานที่สำคัญบางแห่ง ที่ควรไป
ส่วนที่ Melbourne ก็ไป Great Ocean Road มาอยู่ก็หลายเดือน กว่าจะได้ไป แล้วยังไปตอนหน้าฝนอีก จังหวะไม่ดีแต่ก็สวยนะ เราชอบธรรมชาติอยู่แล้ว อะไรที่เป็นธรรมชาติก็มองว่าสวย แต่บางคนก็บอก งั้นๆ ไม่สวย แล้วถ้ามีเวลาก็ไปรอบๆ ตามแต่เวลาจะอำนวย แต่ที่ประทับใจ คือ ไปวัดที่ Melbourne มีวัดพุธอยู่วัดหนึ่ง สวย สงบ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และอีกอย่างหนึ่งที่ประทับใจคือ เราได้เจอคนไทยที่มีน้ำใจ ที่นั่นเราไม่รู้จักกันมาก่อน แต่เค้าก็มีน้ำใจให้ และวัดก็ยังคงเป็นที่พึ่งของคนไทยที่อยู่ห่างไกลบ้านได้อยู่เสมอ
อีกที่หนึ่งที่อยากไปคือ Tasmania แต่ไม่มีโอกาสไปคือไม่มีเพื่อนไป เพราะไปที่นั่น ต้องขับรถเที่ยวถึงจะเข้าถึงธรรมชาติ
ได้ยินมาว่าบินกลับตอนครบกำหนดวีซ่าเลย ใช้เวลาคุ้มนะครับนี่
ใช่ค่ะ ถือว่าคุ้ม ก็อยากอยู่จนวินาทีสุดท้าย (ยิ้ม)
คิดว่าจะกลับมาออสเตรเลียอีกมั้ยครับ
อยากกลับไปเที่ยว Tasmania ค่ะ และอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไปอยากกลับไปเยี่ยมคนที่เคยเจอตอนที่อยู่ที่นั่นด้วย
สุดท้ายแล้วครับ ฝากอะไรให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆที่สนใจโครงการ หรืออยากมาใช้ชีวิตในต่างแดนหน่อยครับ
ถ้าชอบผจญภัยก็แนะนำให้มาค่ะ แต่ก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมด้วยนะ ร่างกายต้องแข็งแรง อุปกรณ์ต่างๆ รองเท้าก็สำคัญ เอาคู่ที่เป็นมิตรกับเท้า เพราะต้องเดินแน่นอน เผลอๆ ต้องวิ่งด้วย (เราวิ่งประจำ กลับมาก็ขาแข็งแรงเลย)ตอนเราไปเรารู้สึกคล้ายๆกับการผจญภัยนะ เราไม่รู้ว่า จะเจออะไร สำหรับเรา มันคล้ายๆ ไปตายเอาดาบหน้า
แต่ถ้าใครมีคนรู้จักอยู่ที่นั่น ก็ดีนะ อย่างน้อยก็ทำให้อุ่นใจ มาเรียนรู้ตัวเอง ว่าเราจะใช้ชีวิตในที่ที่ไม่คุ้นเคยได้มั้ย ดูแลตัวเองได้มั้ย ก่อนมาก็คิดมากเหมือนกัน แต่พอมาแล้วก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิดนะ อาจต้องอาศัยโชคด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างก็ขึ้นกับตัวเราเอง ว่าจะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน คนไทยที่มีน้ำใจก็ยังมีอยู่ หรือแม้ไม่ใช่คนไทยเค้าก็มีน้ำใจให้เราเหมือนกัน แค่เราคิดดี ทำดี จะอยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย
อีกเรื่องหนึ่งคือ ภาษาอังกฤษ มาต่างประเทศทั้งทีแล้ว ก็ต้องพูดบ้างล่ะพูดผิด พูดถูก ไม่เป็นไร แต่ต้องพูด พอเราพูดไปแล้ว ฝรั่งเข้าใจ โดยไม่ถามซ้ำหรือทำหน้างงๆ ตอนนั้นเราจะรู้สึกดี และมั่นใจในการพูดมากขึ้นขอให้แสดงความพยายามในการต้องการสื่อสารกับเค้า ฝรั่งส่วนใหญ่ใจดีนะเค้าก็จะตั้งใจฟัง และเราว่าฝรั่งที่ออสเตรเลีย เค้าเข้าใจง่ายนะ คงเพราะเค้าคุ้นเคยกับคนหลายเชื้อชาติแล้วมั้ง ทั้งจีน แขก ไทย เวียดนาม
ขอให้เพื่อนๆ ที่อยากจะลองไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองที่ออสเตรเลียเจอสิ่งดีๆ เพื่อนดีๆ แล้วเอาประสบการณ์มาแบ่งปันให้รุ่นต่อไปนะ ขอบคุณคุณแม้ว คุณเกม คุณเกฟ น้องจอย คุณตู่ และทุกคนที่ให้คำแนะนำให้คำตอบในทุกคำถาม และที่สำคัญขอบคุณทุกท่าน ที่เราได้พบเจอที่นั่น ที่ได้ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำให้ความเป็นมิตร ความมีน้ำใจกับเรา แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อในที่นี้แต่หวังว่าวันหนึ่งเราจะได้เขียนชื่อทุกๆคน ลงในหนังสือซักเล่มหนึ่ง (อาจจะเขียนไว้แล้วอ่านเอง )
ขอบคุณมากค่ะ
ขอบคุณคุณเก๋มากครับ