สวัสดีครับ ชื่อแนะนำตัวเองกับเพื่อนๆหน่อยครับ
ชื่อนุ้ยค่ะ มาออสเตรเลียตอนแรกมาเรียนโทเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นกลับไปทำงานที่เมืองไทยสักพักนึง แล้วถือ WAH กลับมาใหม่ค่ะ
ตอนที่เรียนเป็นยังไงบ้างครับได้ทำงานพิเศษอะไรไหม
ตอนที่เรียนโทที่เมลเบอร์นเทอมแรกยังไม่ได้ทำงาน เพราะรู้สึกแค่เรียนและทำรายงานก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว รวมถึงคิดว่าเอาเวลาไปทำความคุ้นเคยกับเมือง มหาวิทยาลัย และเพื่อนที่เรียนด้วยกันก่อนดีกว่า พอปิดเทอมปุ๊บก็เริ่มหางานทำ ตอนนั้นก็ได้ทำงานที่ร้านอาหารไทยใกล้ๆบ้าน และร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใช้งานหนักพอสมควรเลยแถมยังชอบจับเวลาในการทำงานแต่ละอย่าง เช่น คุณต้องทำความสะอาดที่นั่งส่วนนี้ให้เสร็จภายในสามนาที แล้วพอสามนาทีปั๊บเค้าจะเดินมาตรวจถ้าไม่สะอาดก็จะโดนบ่นทันที ก็ทำที่ร้านญี่ปุ่นนี้ได้สักสองเดือนพอเปิดเทอมก็ไม่มีวันว่างไปทำแล้ว ตอนนั้นที่ทำอยู่ก็ได้กินอาหารญี่ปุ่นแล้วก็ได้เรียนรู้การทำอาหารญี่ปุ่นนิดหน่อย ก็สนุกดี ส่วนร้านอาหารไทยก็ยังทำอาทิตย์ละวันสองวัน เพราะถ้าเรียนและทำรายงานอย่างเดียวก็จะรู้สึกหดหู่ พอไปทำก็ได้อาหารกลับมากินอีกหลายมื้อประหยัดเวลาทำกับข้าวไป ร้านที่ทำตอนนั้นก็ดี ไ่ม่เอาเปรียบเด็ก แถมยังคอยช่วยเหลือตลอดเลย เงินเก็บที่ได้จากการทำงานก็จ่ายค่าที่พัก ค่าอาหาร แถมยังไปเที่ยวได้เกือบทั่วออสเตรเลียเลย
ทำไมถึงตัดสินใจกลับมาอีกรอบด้วย Work and Holiday Visa ครับ ลองเล่าให้เพื่อนๆฟังหน่อย
พอเรียนจบก็กลับไปทำงานที่เมืองไทย ตอนนั้นยังไม่อยากกลับเลย อยู่จนก่อนวันสุดท้ายที่วีซ่าจะหมดอายุเลย พอกลับไปก็ได้งานที่มั่นคงและเงินเดือนเยอะพอสมควรทีเดียวสำหรับในตอนนั้น แต่ทำไปประมาณเกือบสองปีก็เริ่มเบื่อ เป็นความรู้สึกที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วบ่นกับตัวเองทุกครั้งว่าไม่อยากไปทำงานเลย.. และด้วยความที่เป็นคนชอบเที่ยว ชอบอยู่ในที่ใหม่ๆอยู่ต่างประเทศ ไม่ชอบอยู่นิ่ง เลยทำให้การนั่งทำงานตั้งแต่เช้าจนเย็นในออฟฟิสเป็นเรื่องที่ทำให้หดหู่ใจ รวมทั้งกับต้องเจอรถติดทั้งตอนเช้าและตอนเย็นทำให้ตัดสินใจได้ว่าจะต้องออกไปเที่ยวหรือไปลองทำงานที่ต่างประเทศดีกว่า แล้วก็ตอนเห็นเพื่อนร่วมงานต่างชาติแต่ละคนสนุกกับการได้มาทำงานที่ไทยและก็เที่ยวทั้งที่ไทยและประเทศในละแวก เลยคิดว่าอยากไปทำงานที่อื่นดูบ้าง
ตอนแรกอยากลองไปประเทศอื่นดูเพราะรู้สึกตอนที่เรียนอยู่ที่เมลเบิร์นก็เที่ยวเกือบทั่วออสเตรเลียแล้ว แต่พอลองศึกษาดูก็ปรากฎว่าคนไทยสามารถสมัคร Work and holiday visa ได้แค่ประทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ก็เลยตัดสินใจกลับมาที่ออสเตรเลียอีกที
เคยอยู่ออสเตรเลียมาแล้ว น่าจะรู้ลู่ทาง ตอนกลับครั้งนี้มาเริ่มหางานยังไงบ้างครับ ได้ทำงานอะไรบ้าง
พอกลับมาตอนแรกก็ไปตั้งหลักที่เมลเบิร์นบ้านเก่าก่อน แวะไปหาเพื่อนๆและคนที่รู้จัก พี่ที่ร้านอาหารไทยก็ให้ไปทำในระหว่างที่หางานอย่างอื่นไปด้วย ประมาณพักนึงก็พอดีมีคนรู้จักบอกให้ลองโทรไปสมัครงานที่คาเฟ่ซึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะได้เพราะตอนนั้นยังทำกาแฟไม่เป็น ชื่อแซนด์วิชอะไรก็ยังไม่ค่อยรู้ แต่พอดีเค้าขาดคนพอดีและเป็นช่วงที่เด็กปิดเทอมซึ่งที่พิพิธภัณฑ์จะค่อนข้างยุ่ง เค้าก็เลยรับ
วันก่อนไปทำวันแรกก็เลยไปฝึกทำกาแฟที่ร้านไทยที่ทำอยู่ก่อน พอไปทำวันจริงก็ต้องทำเหมือนทำเป็นบ้างแล้ว แต่ก็บอกกับหัวหน้าที่่คาเฟ่นะว่าตอนแรกอาจยังไม่คล่องมาก แต่ให้เวลาสักสามสี่วัน ชั้นต้องทำได้เร็วขึ้นแน่ แต่ก็ต้องขอบคุณพี่เจ้าของร้านอาหารไทยนะที่ฝึกเราตั้งแต่ทำอะไรไม่เป็นเลยจนคล่อง skills บางอย่างที่เรียนรู้จากร้านอาหารไทย รวมถึงการสอนให้อดทนและสู้งานทำให้พอไปทำที่คาเฟ่ เค้าไม่ต้องสอนมาก และด้วยความที่เราเร็วและสู้งานกว่าพวกเด็กออสซี่ เค้าก็เลยให้ทำทุกวัน แล้วก็ให้ทำงานฟังชั่นตอนกลางคืนด้วย เก็บเิิงินได้เป็นกอบเป็นกำ ผ่านไปสองอาทิตย์ที่คาเฟ่ก็เริ่มสอนให้เราทำอะไรหลายอย่างขึ้น บางทีต้องทำแซนวิช กาแฟ และก็วิ่งมาทำตรงแคชเชียร์ด้วยในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็ได้ลองเตรียมอาหารง่ายๆสำหรับฟังชั่นแล้วก็ได้เริ่มช่วยจัดงานฟังชั่นเล็กๆ เริ่มสนุกมากขึ้นเพราะได้จัดงานปาร์ตี้เล็กๆให้เด็กๆและก็ได้จัดเล่นเกมส์กับเด็กๆ เป็นสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความสนุกสนาน พร้อมทั้งเอร็ดอร่อยจากการกินเค้กและอาหารจากคาเฟ่ที่ปกติเราไม่คุ้นและคงไม่ซื้อกิน เนื่องด้วยราคาแพงและไม่รู้ว่าอันไหนอร่อยหรือไม่ ก็ได้ลองกินหมด ทำงานเยอะแต่น้ำหนักก็ขึ้นตามไปด้วย (หัวเราะ)
เห็นว่าได้งานประจำที่บริษัทแห่งหนึ่ง สมัครยากมั้ยครับ
หลังจากทำที่คาเฟ่ได้ประมาณสองเดือนก็ได้รับอีเมลจากหัวหน้าเก่าที่เมืองไทยว่าให้ลองติดต่อบริษัทสาขาที่ซิดนีย์เห็นว่าต้องการคนด่วน ก็โทรไปปรากฏว่าเค้าให้บินไปซิดนีย์เริ่มงานภายในหนึ่งอาทิตย์ ตกลงกันว่าทำสองเดือนแล้วจะกลับมาเมลเบิร์น ตอนนั้นก็ลังเลเพราะกำลังสนุกกับงานที่คาเฟ่ ยังไม่ค่อยอยากกลับไปทำงานออฟฟิสเลย แต่ก็ด้วยความตั้งใจที่จะมาหาประสบการณ์ทำงานหลายๆอย่าง ก็เลยสัญญากับที่คาเฟ่ว่าจะกลับมาอีกสองเดือน
หลังจากทำงานที่นี่ไปได้เดือนกว่าก็ประจวบกับมีคนลาออก เจ้านายก็เลยเลื่อนตำแหน่งให้และทำให้ต้องทำต่อไป ไม่ได้กลับไปทำงานคาเฟ่ที่เมลเบิร์นภายในสองเดือนอย่างที่วางแผนไว้ พอกลับไปเยี่ยมเจ้านายและเพื่อนๆที่คาเฟ่ที่เมลเบอร์นเค้าก็นึกว่าเราจะกลับไปทำ พอบอกว่าไปเยี่ยมเฉยๆเค้าก็ถามว่า ยูชอบอยู่ซิดนีย์มากกว่าเมลเบิร์นเหรอ ก็ตอบไปโดยไม่ต้องคิดเลยว่า เปล่า ชอบอยู่ทีเมลเบิร์นมากกว่าแต่ติดงานออฟฟิสที่ทำอยู่ มันออกไม่ได้ เค้าก็เข้าใจ เราก็แอบเศร้าอยากกลับไปทำ
พอทำไปได้ครบหกเดือนก็ต้องหยุดทำตามเงื่อนไขของวีซ่า แต่พอคราวนี้เรามีประสบการณ์ทำงานที่ออฟฟิสนี้แล้วก็เลยทำให้ได้งานชั่วคราวที่บริษัทใหม่นี้ ก็เลยมีงานให้ทำอีกก่อนที่จะต้องกลับต้นปีหน้า
เมลเบิร์นกะซิดนีย์ต่างกันเยอะมั้ยครับ
เมลเบิร์นต่างกับซิดนีย์มากทีเดียว อย่างแรกคือซิดนีย์คนเยอะมาก คนไทยและคนเอเชียก็เยอะกว่าเมลเบิร์น อยู่ซิดนีย์แล้วควา่มรู้สึกเหมือนอยู่กรุงเทพ แต่พอคนเยอะมันก็มีอะไรให้ทำมีที่ให้เที่ยวมากกว่า ห้างร้านส่วนใหญ่ในเมลเบิร์นห้าโมงก็ปิดแล้ว พอหลังหกโมงในตัวเมืองเมลเบิร์นก็เงียบแล้ว อย่างที่สองคือที่พักและค่าครองชีพที่ซิดนีย์สูงกว่าเมลเบิร์น ตอนแรกที่มาอยู่ซิดนีย์ไม่ชินกับการแชร์ห้องอยู่กันหลายๆคนแล้วก็มีคนอยู่ living room ที่เมลเบิร์นก็อาจจะมีอยู่อย่างนี้แต่น้อยมากเพราะค่าที่พักถูกกว่าที่ซิดนีย์และห้องก็ใหญ่กว่า อาจจะเป็นเพราะเมลเบิร์นยังมีที่เหลือให้สร้างอพาร์ทเมนต์เยอะ อีกอย่างที่เห็นได้ชัดคือรสชาดของอาหารไทย ที่ซิดนีย์ร้านอาหารไทยเยอะมากแล้วรสชาดก็เหมือนที่เมืองไทยเลย อาจจะเป็นเพราะสามารถหาเครื่องปรุงได้ง่ายกว่าที่เมลเบิร์น พูดถึงอากาศ ซิดนีย์อากาศดีกว่าและหน้าหนาวก็ไม่หนาวจับใจและลมเย็นยะเยือกเท่าเมลเบิร์น สรุปคือถ้าชอบอยู่ที่เงียบๆหน่อย สบายๆ ไม่เร่งรีบก็ลองไปเมลเบิร์น แต่ถ้าชอบเที่ยวและกลัวคิดถึงเมืองไทยหรืออาหารไทยก็ต้องอยู่ซิดนีย์
มีคำแนะนำอะไรให้น้องๆและเพื่อนๆรุ่นต่อไปบ้างมั้ยครับ
ก็อยากแนะนำให้เด็กไทยลองทำงานหลายๆอย่าง ไม่ต้องจำกัดแค่ร้านอาหารไทย ไม่ต้องกลัวที่จะเดินเข้าไปสมัครร้านฝรั่ง หรือทำงานที่ได้เรียนรู้ใหม่ๆ ไม่มีอะไรต้องอายเดินเข้าไปถาม ถ้าเค้ารับก็ดี ถ้าไม่มีตำแหน่งว่างหรือเค้าไม่รับก็แค่เดินออกจากร้าน ภาษาก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เรากล้าไปหางานอย่างอื่นที่ไม่ใช่ร้านอาหารไทยหรือไม่ แต่ถ้าไ่ม่พยายามออกจาก comfort zone ก็จะต้องติดอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ที่ไม่ได้ช่วยพัฒนาตัวเรา และไม่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นงานในร้านอาหารก็ได้ มีเพื่อนที่อยู่บ้านเดียวกันถือ Work and holiday visa และได้ไปลองทำงานในเรือท่องเที่ยวเฟอร์รี่ เค้าก็สอนให้ขับเรือและได้ออกเรือดูสนุกดี ไหนๆก็มีโอกาสทำงานที่นี่แล้วก็ควรจะลองทำอะไรที่กลับไปคงไม่มีโอกาสได้เรียนรู้หรือทำง่ายๆ