Community Zone
จากร้านอาหารไทยถึงบ.โฆษณา บทสัมภาษณ์คุณนัท
โดย : zgamez   (7 November 2009) จำนวนผู้เข้าชม 6488 คน

"Ozzie Ozzie Ozzie, Oy Oy Oy!"

ช่วยแนะนำตัวเองด้วยครับ

ชื่อนัทครับ ตอนนี้ทำงานอยู่บริษัทโฆษณาที่ออสเตรเลีย ทำที่นี่มาได้ปีกว่าแล้วครับ

ก่อนอื่นต้องถามก่อนว่ามาเข้าร่วมโครงการ Work and Holiday นี้ได้อย่างไรครับ

คือตัวผมเองรู้จัก Working holiday มาตั้งนานแล้วครับ ซึ่งวีซ่าตัวนี้มันจะเป็นวีซ่าคนละ sub class กับ work and holiday แต่โดยรวมๆ แล้วคล้ายๆ กันครับ สมัยนั้นมันยังไม่มีวีซ่าตัวนี้ให้ประเทศไทยเลยครับ เพิ่งจะมามาเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง... ก่อนอื่นต้องขอเล่าก่อนว่า ตัวผมเองเคยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาสมัยยังเด็ก (ตอนนี้แก่แล้ว) พอหลังจากกลับจากอเมริกาใหม่ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่า ชีวิตเราอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ ตอนนั้นเริ่มสนุกกับการได้เห็นอะไรที่แตกต่างออกไป ได้รับรู้และเรียนรู้มุมมองใหม่ๆ ที่ตัวเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเรื่องเดียวกันแต่มองกันคนละมุมได้ นั่นให้ผมเริ่มจุดประกายให้ตัวเองแล้วก็เลยเริ่มมองหาอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติม รวมทั้งเปิดหูเปิดตาตัวเองให้มากขึ้นเพื่อรับข้อมูลข่าวสารที่จะทำให้เราได้รับโอกาสดีๆ เพิ่มขึ้น บวกกับตอนนั้นผมก็มานั่งคิดไปคิดมาแล้วรู้สึกว่ายังมีอะไรหลายๆ อย่างที่เราอยากทำแต่เราพลาดโอกาส หรือมัวแต่รอให้โอกาสมันเดินเข้ามาหา แต่โอกาสมันไม่เคยเดินเข้ามาหาหรอกครับ มีแต่ผมต้องชะโงกหน้าเข้าไปทักมัน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็ค่อนข้างจะกลัวว่านี่เราจะทำถูกไหม หรือ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยทำและคุ้นเคย”

นั่นเป็นความคิดแรกๆ หลังจากกลับมาใช้ชีวิตปกติที่เมืองไทยครับ...

แล้วมันเกี่ยวกับ Work and Holiday ยังไงครับ

จะบอกว่าเกี่ยวมันก็เกี่ยวนะ เพราะอย่างที่บอกว่าการไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอกในตอนนั้นเป็นตัวจุดประกายให้ผม ทำให้ผมอยากไปเรียนรู้และหาประสบการณ์ในที่ๆ เราไม่เคยไป ส่วนตัวเป็นคนชอบ Backpack อยู่แล้วด้วย ก็เลยมองหาอะไรแบบนี้มาตลอด

ว่าแล้วปฏิบัติการล่าฝันก็เกิดขึ้น...ตอนนั้นเริ่มเบื่องานที่เมืองไทย เพื่อนๆ ที่รู้จักเขาก็หนีออกนอกประเทศไปกันเกือบหมด ก็เลยอยากไปกับเขาบ้าง ใจจริงตอนนั้นอยากไปเรียนที่ยุโรปครับ อยากไปไม่สวีเดนก็สเปน วันนั้นก็เลยเปิดเว็บไซต์ดูที่ทำงาน แล้วอยู่ๆ เว็บไซต์ของ ส.ท. มันก็โผล่ขึ้นมา... อย่างที่ผมเคยบอกว่า โอกาสมันไม่ได้เดินเข้ามาหาเราเสมอๆ หรอก แต่บางครั้ง โชคชะตามันก็เล่นตลก
บวกกับจังหวะ หรือความบังเอิญของชีวิตก็ไม่รู้นะครับ แล้วโอกาสมันก็เดินเข้ามาชนกับผมเข้าอย่างจังโดยที่ผมได้ตั้งตัวเหมือนกัน... ก็เลยทำให้ผมมานั่งอยู่ที่นี่ครับ...ประเทศออสเตรเลีย จริงๆ ไม่เคยคิดจะมาประเทศนี้เลย แต่แล้วดวงชะตามันก็พามาที่นี่จนได้

ใช้เวลาตัดสินใจนานไหมครับในการมา Work and holiday ที่ออสเตรเลียนี่

ประมาณ...เอ่อ... 30 วินาทีได้ครับ (หัวเราะ) คือตอนนั้นใจมันไม่อยู่ที่เมืองไทยแล้วครับตั้งแต่เห็นข้อมูลจากเว็บไซต์ของ ส.ท. ตอนนั้นผมก็กำลังหาเหตุผลในการลาออกจากงานอยู่พอดีเพราะเริ่มเบื่องานที่ทำอยู่ เผอิญตอนก่อนมาที่นี่ คุณพ่อก็เพิ่งเสียด้วยครับ ก็เลยอยากพักครับ และเหมือนเริ่มเข้าใจสัจธรรมของชีวิตมั้งครับ (หัวเราะ) ...การสูญเสียคนที่เรารักไปบางครั้งมันก็สอนอะไรเราเหมือนกัน... ทุกสิ่งทุกอย่างมันลงตัวไปหมด เหมือนมีคนมาบอกว่า “ไปเหอะ...ไปหาอะไรสนุกๆ ทำดีกว่า”

ความรู้สึกเก่าๆ สมัยที่อยู่ที่อเมริกามันก็วิ่งผ่านเข้ามาในหัว...ชีวิตคนเรามันก็สั้น ทำไมเราไม่ทำสิ่งที่เราอยากทำ สนุกกับชีวิตในตอนที่เรายังมีโอกาสอยู่ดีกว่า... ตอนนั้นภาพคนแก่เดินไม่ค่อยไหวมันผุดเข้ามาในหัวสมอง ผมรู้สึกว่าอายุเราก็ไม่ใช่น้อยๆ มันคงไม่สนุกแน่ๆ ถ้าเราจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ แล้วต้องไปตะลอนเที่ยวตอนแก่...

ก็เลยตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เราควรจะออกไปผจญภัยอีกรอบดีกว่า...

ผมเริ่มหาข้อมูลจากเว็บไซต์ของ ส.ท. แล้วก็เว็บอื่นๆ ด้วยครับ แต่ในใจก็คิดว่าไปแน่ๆ ครับ รีบรวบรวมหลักฐาน จำไม่ได้แล้วว่าโทรไปจองได้คนที่เท่าไหร่ ผลสอบภาษาอังกฤษตอนนั้นก็ยังไม่มีครับ เพราะยังไม่แน่ใจว่าต้องใช้หรือเปล่า พอถามแน่ใจแล้วว่ายังไงก็ต้องใช้ผลสอบภาษาอังกฤษ ก็ต้องเลยรีบวิ่งไปจองที่สอบครับ ปรากฏว่าทีสอบเหลืออยู่พอดี ก็เลยโชคดีไป แล้วก็ต้องโทรไปเลื่อนสอบสัมภาษณ์ที่ส.ท.ครับ เพราะว่าผลสอบภาษาอังกฤษได้หลังวันที่จองสัมภาษณ์ไว้ตอนแรก ซึ่งตอนแรกก็นึกว่าจะไม่ได้ แต่เจ้าหน้าที่ทางส.ท. บอกว่าไม่ครบตามจำนวนที่กำหนด ก็เลยแลกคิวได้ รู้สึกตอนนั้น สัมภาษณ์คนที่ 80 กว่าๆ มั้งครับ ก็เตรียมเอกสารวุ่นวาย เป็นที่สนุกสนานกันไป

เห็นว่าตอนนี้ทำงานอยู่บริษัทโฆษณาแล้วเข้ามาทำงานที่บริษัทนี้ได้อย่างไรครับ

จะบอกว่ามันอยู่กับโชค คอนเน็คชั่น และอะไรหลายๆ อย่างด้วยครับ เพราะรอนานมากกว่าที่บริษัทจะเรียกเข้าไปสัมภาษณ์...ตัวผมเองเคยทำงานที่บริษัทนี้มาก่อนที่เมืองไทย บริษัทนี้ก็เลยเป็นบริษัทแรกๆ ที่ส่ง resume ไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เรียกไปสัมภาษณ์เสียที ตอนนั้นก็ถอดใจแล้วครับ คิดว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็มองหางานอื่นๆ ไปเรื่อยๆ จนหกเดือนผ่านไป ก็ได้รับโทรศัพท์ จากที่บริษัทบอกให้เข้าไปสัมภาษณ์ ก็เลยเข้าไป สัมภาษณ์หลายรอบมากครับ แล้วคงโชคดีด้วยที่ให้ Reference จากทีมที่ทำงานด้วยที่สิงคโปร์กับออสเตรเลียไป เขาก็โทรไปเช็คประวัติหมดเลย (ที่รู้เพราะทั้งสองคนเขาโทรมาบอก) โดยที่ตอนแรกเขาจะให้ทำงานเป็น temporary ประมาณ 1 เดือน ตอนนั้นคิดว่ายังไงก็เอาแน่ๆ เพราะเชื่อว่าถ้าเราทำงานดี เขาก็อาจจะเอาเราไว้ต่อก็ได้ แล้วโดยส่วนตัวและประสบการณ์จากการทำงานในบริษัทโฆษณามา ช่วงเวลา 1 เดือนเนี่ยทำไม่เสร็จ 1โปรเจคแน่ ๆ ก็เลยตอบตกลงเขาไป

จากนั้นก็เข้าไปสัมภาษณ์รอบที่สอง และสามตามลำดับ ...จะคุยอะไรกับเราเยอะแยะน้าาาาาาาา...ตอนนั้นคิดอย่างนั้น และจากการที่เข้าไปสัมภาษณ์หลายรอบ ทำให้เริ่มมั่นใจว่าเราต้องได้แน่ๆ สัมภาษณ์กันหลายลอบจนในที่สุดเขาโทรมาคอนเฟิร์มและก็ถามเรื่องวันที่สามารถเริ่มงานได้เสร็จเรียบร้อย ตอนนั้นกระดี๊กระด๊าสุดขีด ยื่นใบลาออกจากที่ทำงานเก่า...สบายแล้วกรู...

แต่! ของดีๆ ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ...วันต่อมา ทางบริษัทโทรมาบอกว่าไม่สามารถรับเข้าทำงานได้แล้ว...ตอนนั้นเซ็งมาก...แต่ก็คงเพราะโชคยังเข้าข้างอยู่บ้าง เขาก็เลยบอกว่าให้เข้าไปสัมภาษณ์กับอีกทีมนึง...โอ้พระเจ้าจอร์จ...สรุปว่าต้องเริ่มใหม่หมดเลยตั้งแต่ต้น...โชคดีที่คราวนี้เข้าไปสัมภาษณ์ครั้งเดียวแล้วอีก 2 วันรู้ผลเลย เขาโทรมาคอนเฟิร์มให้เริ่มงานสิ้นเดือน คราวนี้เลยได้อยู่ยาวเลย...ก็เลยได้ทำงานที่นี่จนถึงบัดนี้

ก็ต้องพยายามพอสมควรเลยนะครับ อย่างนี้ต้องปรับตัวเยอะไหมครับในการทำงานร่วมกับคนออสเตรเลีย แตกต่างจากที่ทำงานที่เมืองไทยอย่างไรบ้าง

ถามว่าต้องปรับตัวไหม ก็ต้องมีการปรับตัวบ้าง เพราะตัวผมเองก็ไม่เคยทำงานที่ต่างประเทศมาก่อน แต่ตอนอยู่ที่เมืองไทยก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับชาวต่างชาติบ่อยๆ รวมทั้งเพื่อนต่างชาติก็มีเยอะ เลยพอมีความรู้มาบ้างว่าใครทำงานเป็นอย่างไรบ้าง
หลักๆ เลยก็คงจะเป็นเรื่องของภาษา ถึงจะเคยไปอยู่ที่อเมริกาแต่ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ แล้วผมก็ไม่ใช่ Dictionary เลยไม่รู้หมดหรอกครับ แต่ด้วยความที่เป็นคนเอาตัวรอดเก่งก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก หลักๆ เลยก็คงเป็นสำเนียงของชาวออสเตรเลียที่ออกจะไม่ค่อยคุ้นหูผมเท่าไหร่ แต่โชคดีที่ตอนที่ได้งานนี้เป็นช่วงครึ่งปีหลังซึ่งก็จะค่อนข้างคุ้นกับสำเนียงของคนที่นี่ไปบ้างแล้ว แต่ด้วยความที่บริษัทที่ทำงานอยู่เป็นบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่ มีคนร่วมงานหลากหลายเชื้อชาติมาก แล้วหัวหน้าก็เป็นคนอังกฤษ ก็เลยสนุกสนานขึ้นไปอีก...

ในส่วนของการทำงานไม่ค่อยจะมีปัญหามากเท่าไหร่เพราะเป็นงานที่เคยทำอยู่แล้วที่เมืองไทย เนื้องานอาจจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่รวมๆ แล้วคล้ายๆ กัน การปรับตัวส่วนมากจะเป็นเรื่องของคนที่ร่วมงานด้วยมากกว่าที่ในตอนแรกก็จะไม่รู้ว่าเขาทำงานกันอย่างไร แล้วอะไรที่ควรจะเน้นเป็นพิเศษหรือไม่ ซึ่งผมก็เคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้อยู่บ้างเลยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะถามเอาครับ ถ้าไม่รู้ก็ถามครับ หัวหน้าก็ดีแสนดีไม่เบื่อที่จะตอบคำถามเราครับ

ยอมรับว่าที่นี่ทำงานกันเป็นระบบมากกว่า คนที่ทำงานด้วยที่นี่มีเหตุผลมากกว่าที่เมืองไทย ซึ่งเวลาที่เราคุยอะไรด้วยจะใช้เหตุใช้ผลในการโต้แย้งมากกว่าความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งตรงนี้เป็นข้อดีที่ทำให้เรามีเหตุมีผลให้ตัวเองมากขึ้น รวมทั้งวิธีการคิดที่เป็น Logic มากขึ้น ซึ่งต่างจากการทำงานที่เมืองไทยที่ผมเคยทำมาครับ

เห็นว่ามาได้งานช่วง 6 เดือนหลัง แล้วช่วงก่อนหน้าที่จะได้ทำงานที่นี่ทำอะไรอยู่ครับ หรือไปเที่ยวอย่างเดียว

เที่ยวบ้างครับ แต่ตอนมาใหม่ๆ ผมก็ร่อนใบสมัครไปทั่วเลยครับ เพราะต้องหางานทำ... ไม่ไหว ที่นี่ของแพง... จำไม่ได้ว่าส่งไปเท่าไหร่ แต่เยอะมาก หลังจากนั้นก็ได้ไปสัมภาษณ์กับที่บริษัทบ้าง ได้ไปสัมภาษณ์กับ Head hunter บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้ครับ เพราะเขาต้องการคนที่สามารถทำงานได้ในระยะยาวมากกว่า ตอนนั้นระหว่างรอสัมภาษณ์ไปเรื่อยๆ ก็เลยลองไปทำงานที่ร้านอาหารไทยก่อน เพื่อนที่ห้องเป็นคนฝากให้
วันแรกไปเทรนเขาก็ให้ไปเสิร์ฟเลย ก็สนุกดีครับ คือตัวผมเองเป็นคนชอบทำกิจกรรมอยู่แล้วด้วย ก็เลยเรียนรู้อะไรค่อนข้างเร็ว พอวันที่สองเขาก็ให้ไปเทคออร์เดอร์เลย ก็มีปัญหาบ้างเล็กน้อยตรงที่จำตัวย่อไม่ได้ เลยเขียนมันเต็มยศเลยครับ...ในครัวเห็นมันก็ขำกันครับ...ทำไงได้ ก็มันจำไมได้นี่หว่า... พอทำไปซักพักก็เริ่มชินครับ

แรกๆ ก็สนุกดีครับ แล้วก็มองหางานอื่นๆ ไปด้วย เพราะจะไปทำร้านอาหารฝรั่งเลยเราก็ไม่มีประสบการณ์ แต่ทำไปได้ซักพักนึงก็เริ่มไม่สนุกครับ เพราะรู้สึกว่าเราโดนเอาเปรียบ...ค่าแรงก็ไม่ได้ขั้นต่ำที่ควรจะได้ ทำไปได้ซักพักก็ออกครับ ไม่ได้ออกเพราะทำไม่ไหว แต่ออกเพราะต้องการให้เขารู้ว่าทำอย่างนี้มันไม่ถูก อย่างน้อยอยากให้เราเป็นหนึ่งเสียงที่สะท้อนความเป็นธรรมให้กับคนที่ต้องทำงานที่ร้านอาหารที่นี่

การที่เจ้าของร้านอาหารให้เราทำงานที่ร้านที่นี่ถือว่าเป็นบุญคุญอันใหญ่หลวง เจ้าของร้านที่นี่พยามยามปลูกฝังความคิดนี้ให้กับทุกๆ คนที่เข้าไปของานเขาทำ ซึ่งผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง...กลายเป็นว่า เพราะ "เขา" ทำให้เราได้มีงานทำ ทำให้เราได้เงิน ถ้าไม่ทำก็มีคนอื่นมาต่อคิวอีกมากมาย เพราะฉะนั้นการที่เราได้ทำงานถือเป็นสิ่งที่ เขาช่วยเราให้ได้มีเงินใช้ในออสเตรเลีย แต่ต้องแลกด้วยค่าแรงที่ต่ำ...ขอย้ำว่าต่ำมาก! ...แต่หลายๆ คนก็ต้องทนเพราะไม่มีทางเลือก รวมทั้งข้อจำกัดในเรื่องของวีซ่า

ตอนนั้นคิดว่าไม่อยากให้เขารู้สึกว่าการที่ทำไม่ถูกต้องมาเป็นเวลานานจนกลายเป็นเรื่องที่ชินชา ทำให้เกิดความเคยชิน บวกกับการที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนเอง ก็เลยทำให้นายจ้างคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะไม่มีใครคัดค้าน และกลับเห็นชอบเพราะคิดว่า คนที่มาทำงานที่ร้านของตนนั้นไม่มีทางเลือก

ผมไม่ชอบความคิดนี้และไม่อยากส่งเสริมให้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไป...แทนที่คนไทยด้วยกันเองจะช่วยเหลือกัน กลับมาเอาเปรียบคนไทยด้วยกันเอง เห็นแบบนี้แล้วก็เศร้าครับ ก็เลยออกครับโดยที่บอกให้เขารู้ถึงเหตุผลในการออก

แต่ไม่ใช่ว่าทุกร้านจะเป็นอย่างที่ผมพูดนะครับ ร้านไทยดีๆ ก็มีตั้งหลายร้านในซิดนีย์ แต่ไปลองหาดูด้วยตัวเองดีกว่าครับ ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบ...

ก็ออกมาว่างงานเล่นซักพักนึงก็ได้งานที่ใหม่ ซึ่งเพื่อนก็แนะนำมาอีกแหล่ะครับ งานนี้เป็นงานค่อนข้างโอเค เพราะว่าไม่ต้องใช้แรงงานเท่าไหร่ เพราะทำงานใน Office ครับ เป็น admin เป็นบริษัทเล็กๆ รายได้ก็โอเคครับ พออยู่ได้ ซึ่งทำไปได้ซักพัก ที่ทำงานปัจจุบันก็โทรมาเรียกไปสัมภาษณ์ครับ

เห็นทำงานวุ่นๆ อย่างนี้ได้มีโอกาสได้ไปหาประสบการณ์อย่างอื่นหรือท่องเที่ยวที่ไหนบ้างหรือเปล่าครับ

ก็ถ้าพูดถึงเรื่องไปเที่ยว ก็ได้ไปมาหลายที่เหมือนกันนะครับ แต่ก็ยังไม่ครบเท่าที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ส่วนที่ประทับใจจริงๆ ก็คงจะเป็นที่ Uluru ครับเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ แล้วก็ให้ความรู้สึกว่า ผมได้มาเหยียบประเทศออกเตรเลียแล้ว รู้สึกทึ่งกับความอลังการของหินยักษ์นี่ครับ รวมทั้งประสบการ outback นอนดูดาวกลางทะเลทราย ฯลฯ...บอกได้คำเดียวว่า Amaaaaaaaaazing!

ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเที่ยวอีกครับ ไหนๆ มาแถวนี้แล้วก็เลยอาจจะถือโอกาสไปเที่ยวแทบหมู่เกาะแปซิฟิกใต้ด้วยเหมือนกัน

สุดท้ายแล้วฝากอะไรไว้กับคนอ่านไหมครับ

ขอฝากเรื่อง Positive Attitude แล้วกันครับ เพราะแต่ละคนมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน แต่ทุกคนคงจะรู้ว่าตัวเองว่ามาที่นี่เพื่ออะไร ทำตามจุดประสงค์ที่ตัวเองตั้งไว้ ใช้ชีวิตให้เต็มที่จะได้ไม่ต้องกลับไปนั่งเสียดายที่หลังว่าทำไมเราไม่ได้ทำอย่างโน่น เราไม่ได้ทำอย่างนี้...

การทำให้ 1 ปีที่ใช้ชีวิตที่นี่ให้มีความสุข...มันขึ้นอยู่กับตัวเราเอง...อย่ามัวรอให้โอกาสมันเข้ามาหา แต่เราควรจะออกไปหาโอกาสด้วยตัวของเราเอง "อย่ากลัวว่าเราจะทำไม่ได้ เพราะถ้าเราไม่เริ่มทำ เราก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าเราทำได้หรือไม่..." อย่าคาดหวังจนสุดหรู หรือหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ได้...

เพื่อนๆ ผม หลายๆ คนเขาก็มีความสุขได้ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานในร้านอาหาร บางคนได้เงินเก็บมากมายโดยที่ไม่ต้องทำงาน Office แบบผม และอีกหลายต่อหลายคน ก็มีโอกาสได้เดินทางไปในที่ที่ทั้งชีวิตนี้ หลายๆ คนไม่มีโอกาสได้เหยียบย่างไปถึง...

พยายามให้เต็มที่และขอให้สนุกกับการใช้ชีวิตในออสเตรเลียนะครับ

Until then

Blog ที่เกี่ยวข้อง
Happy Birthday Melbourne!
ดูทั้งหมด
Webboard ที่เกี่ยวข้อง
ดูทั้งหมด
04 No.
01 No.
รู้สึกมีกำลังใจจะทำ ในสิ่งที่อยากทำขึ้นเยอะเลยค่ะ ขอบคุณพี่นัท พี่เกม มากค่า
reply    report
Game Busaracumwong 02 No.
ยินดีจ้าจิ จะมามะไหร่นี่ ตอนนั้นพี่นัทไปเมืองไทยพอดี พี่เลยชวนพี่เค้าไปงาน โดยต้องการนำเสนอเนื้อหากันในแง่มุมว่า คนเก่งๆเค้าก็ต้องสู้นา ถึงจะสำเร็จ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ จำได้ว่าตอนจัดสัมมนามีกระแสตอบรับบางส่วนประมาณว่า โห คนเก่ง เค้าก็ต้องทำได้สิ ชั้นไม่เก่งแบบนั้น อันนั้นเป็นเรื่องของการมองโลกที่พี่นัททิ้งท้ายไว้ให้ครับ ว่าเราต้องมองเป็นแง่บวก และชีวิตก็มีความสุข สู้ๆครับผม
reply    report
03 No.
"อย่าคาดหวังจนสุดหรู หรือหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ได้..." ถูกใจมากครับ ขอขอบคุณทั้งท่านผู้ให้สัมภาษณ์และท่านผู้สัมภาษณ์ครับ
reply    report

Social Network


 
Advertrising