Language school
พอถึงวันแรกครูเค้าก็จะพาไปทัวร์ดูรอบๆเมืองว่ามีอะไรบ้าง ไปรษณีย์ ห้องสมุด พาไปเปิดบัญชีธนาคารพอกลับเข้ามาในโรงเรียน ขอบอกว่าตื่นเต้นมาก นอกจากฝรั่ง กับคนไทยแล้ว ก็ยังมี คน เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ฯลฯ เดินกันให้เต็มไปหมด คนนั้นก็หล่อ คนนี้ก็สวย อุ๊ย คนนั้น แต่งหน้า อย่างกับจะไปเล่นงิ้วแน่ะ ชักสนุกแล้วเว้ย หลังจากทัวร์ครูก็พาไปห้องสอบ นักเรียนใหม่จะต้องสอบวัดความรู้ทุกคน เพื่อที่จะได้รู้ว่าตัวเองเหมาะสมกับห้องอะไร เราก็ไปสอบๆกับเขา ข้อสอบส่วนใหญ่ก็จะเป็นgrammar ทำไป ก็งงไป พอเสร็จก็รู้ว่าตัวเองได้ไปอยู่ห้องpre- intermediate คือห้องระดับกลางนั่นเอง ห้องเรียนที่นี่จะมีแบบgeneral classแบ่งเป็น4ระดับ
นอกจากนั้นก็ยังมี
IELTS และ TOEFL สำหรับคนที่จะเตรียมสอบ ส่วนเรื่องการเรียนการสอนของGeneral classนั้นจะคล้ายๆกันแต่จะต่างกันที่ความยากง่าย เริ่มเรียน 9.00am -1200pmช่วงเช้าจะเป็นส่วนของgrammarและtense ต่างๆ ครูก็จะมีแบบฝึกหัดให้ทำ ใครไม่เข้าใจก็จะมาอธิบายให้ฟังตัวต่อตัว และยังให้แบบฝึกหัดเพิ่มอีกด้วย และสิ่งที่นักเรียนทุกคนในgeneral class ต้องทำคือ เขียน Diary ประจำวัน แรกๆก็ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะทุกวันก็ทำเหมือนกัน ตื่นเช้ามา ไปเรียน กลับบ้าน ทำการบ้าน แล้วก็เข้านอน อาจจะมีอะไรให้เขียนมากหน่อยตอนweekend ไปเที่ยวต่างเมืองกับเพื่อนๆ ตอนแรกเขียนสั้นมาก ประมาณ4-5บรรทัด ครูก็บอกว่ามันน้อยไป มีอยู่ครั้งหนึ่งสิ้นคิดมาก เขียนว่า same as yesterdayเหมือนเมื่อวานนี้ แหะๆโดนครูบ่นซะ หลังๆเริ่มพัฒนา มีการใส่เรื่องอื่นๆลงไปด้วย แล้วก็แสดงความคิดเห็น ตัวอย่างเช่น วันนี้ไปดูหนังมา สนุกมาก เรื่องมันเป็นแบบนี้ แต่เสียดาย พระเอกไม่น่าตายเลย ครูไปดูมารึยังคะ อะไรแบบนี้ แล้วครูเค้าก็จะตอบเราทุกครั้ง มันทำให้การเขียนdiaryของเราสนุกมากขึ้น เรียนไปเรียนมาชักสนิทกับครู กลายเป็นเพื่อนซี๊กัน ก็เขียนเรื่องส่วนตัวซะเลย ปรึกษาเรื่องหัวใจก็มี นินทาคนอื่นก็มี อันนี้ไม่ดีนะอิอิ การเขียนdiaryนั้นจะทำให้ทักษะภาษาอังกฤษของเราพัฒนาขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การคิด การเขียน คำศัพท์ ไวยกรณ์ และอีกอย่างเวลาที่เราเรียนจบแล้ว เราก็สามารถนำกลับมาอ่าน และคิดถึงเวลาเก่าๆ ทำให้เราได้แอบยิ้ม
ส่วนในช่วงบ่ายจะสนุกมาก เพราะจะเป็นการฝึกทักษะ ฟัง พูด ครูก็จะมีเกมส์มาให้เล่นบ้าง เอาเทปบทสนทนามาให้ฟัง แล้วถามคำถาม หรือบางทีก็ให้จับกลุ่มเล่นละคร แต่ละคน มาจากคนละที่ ต่างความคิด สำเนียงก็ไม่เหมือนกัน พูดถึงสำเนียง กับการออกเสียงแล้ว คนไทยจะมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่ชอบออกเสียงตัวสุดท้ายของคำ เช่น cat คนไทยจะอ่านว่า แ-ค-ด แต่ฝรั่งเค้าจะออกว่า แ-ค-ท(เถอะ )ออกt ตัวชัดมาก ไอ้เราก็พยายามจะพูดให้ชัดๆแต่ก็ลำบากเหมือนกัน เพราะว่าพูดแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ก็ต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ เราก็ไม่ต่างอะไรกับพวกกะเหรี่ยงนั่นเองที่พูด ทาย ม่า ช๊า (ไทยไม่ชัด)ใครไม่อยากเป็นกะเหรี่ยงก็อย่าลืมนะ แล้วเวลาอยู่ที่โรงเรียน ครูบอกเสมอเลยว่าให้พูดภาษาอังกฤษกับคนชาติเดียวกัน ขอบอกว่า ยากมาก มันรู้สึกอาย กระดากปากยังไงก็ไม่รู้ ที่สำคัญมันเมาท์ได้ไม่เต็มที่ เวลาจะคุยกับเพื่อนทีก็ต้องมองซ้าย มองขวาให้ดี บางทีซวย กำลังเมาท์เลยหันไปเจอครูอยู่ข้างหลัง ครูบอกว่าเมื่อกี๊ เธอพูดภาษาอังกฤษกันใช่ไหม แต่ทำไมฉันไม่เห็นเข้าใจเลยหละ พร้อมกับทำสายตาจิก และหน้าโหด วันนั้นเลยได้การบ้านกลับไปทำเพิ่มอีก จากนั้นก็เลยพยายามพูดภาษาอังกฤษกับคนไทยมากขึ้น เพราะขี้เกียจทำการบ้านเพิ่มนั่นเอง พอพูดบ่อยๆมันก็จะชินไปเอง
หลังจากเรียน general ได้ซักพักก็มีโอกาส ได้ไปเรียนห้องIELTS โอ้ พระเจ้าจอชย์ มันยากมากๆ เรียนคนละอย่างกับgeneralโดยสิ้นเชิง เพราะคนที่จะมาเรียนห้องนี้คือคนที่จะไปสอบ ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกติวเข้มก่อนสอบentranceนั่นแหละ การสอบ IELTSแบ่งเป็นสี่อย่างคือ พูด(speaking), ฟัง(listening), อ่าน(reading) และ เขียน(writing) วันจันทร์ ถึง พฤหัสบดี จะฝึก ฟัง อ่าน เขียน ฝึกฟังนี่ก็จะมี เทปให้ฟัง แล้วก็ตอบคำถามให้ทัน ส่วนการอ่านก็จะมีเนื้อเรื่องมาให้ แล้วก็ตอบคำถามจากเนื้อเรื่อง แต่ส่วนมากแล้วคำตอบมันจะไม่ได้อยู่ในเนื้อเรื่อง จะต้องเอามาวิเคราะห์อีกที แค่หาอย่างเดียวก็จะตายแล้ว ยังจะต้องมาวิเคราะห์อีก เฮ้อ ต่อมาก็การเขียน เค้าก็จะมีโจทย์มาให้เราก็ต้องเขียนอธิบายความคิดเห็นออกมาอย่างน้อยหนึ่งหน้ากระดาษ A4 คำถามส่วนมากก็จะมาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ครูแนะนำว่าให้อ่านหนังสือพิมพ์เยอะๆ ภาษาอังกฤษนะ ไม่ใช่ ไทยรัฐ ตัวอย่างคำถามที่เคยเจอก็มีอยู่ข้อนึง ถามว่า คุณคิดอย่างไรที่จะให้โสเภณีเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมาย ?เป็นไง เจอแบบนี้เข้าไป ก็มึนสิคะ เวลาเขียน ครูสอนว่าจะต้องมี 3ส่วน1. คำขึ้นต้นที่หน้าดี จูงใจผู้อ่าน 2.เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ 3.สรุปที่กระชับ และสิ่งที่สำคัญอีกสี่งนึงนั่นก็คือ vocabularyคำศัพท์ ครูจะให้เราท่องศัพท์ใหม่ๆอยู่เสมอ เพราะมันจะช่วยเราในทุกๆส่วนของการสอบ และส่วนสุดท้ายที่สนุกที่สุดของการสอบคือการพูด เวลาที่ไปสอบมันก็เหมือนกับการสัมภาษณ์นั่นเอง ตอนแรกก็จะให้แนะนำตัว แล้วเค้าก็จะถามคำถามเรา ในช่วงท้าย เค้าก็จะให้เราแสดงความคิดเห็น ช่วงนี้ต้องให้ได้ประมาณ3-4นาทีถึงจะดี ครูเค้าจะให้ฝึกโดยการให้คํมาถามเรามาล่วงหน้า ให้เราไปเตรียมคำตอบมา เวลาสอบ ครูเค้าก็จะอัดเทปเอาไว้ พอเสร็จครบทุกคน ก็จะมาไล่เปิดฟังทีละคน ก็คือการจับผิดนั่นเอง ฟังตอนแรกๆขอบอกว่าอายมากๆๆเสียงก็อุบาทว์แล้วยังพูดติดๆขัดๆ แถมผิดไวยกรณ์อีกตะหาก อยากจะมุดลงไปใต้โต๊ะให้ได้ แต่ก็คิดได้ว่า ไม่เห็นต้องอายเลย ก็ไม่ใช่ภาษาเรานี่ ให้ฝรั่งมาพูดภาษาไทยบ้าง จะได้เท่าเราไหม ว่าแล้วก็ยืดอกแบนๆขึ้นมารับคำแนะนำ และแก้ไขข้อผิดพลาดจากครู ก่อนจะกลับบ้านครูก็ไม่ลืมที่จะแจกการบ้านให้พวกเรา ขนาดคนที่ไม่มาเรียน ครูยังฝากเพื่อนไปให้ที่บ้านเลย คิดเหรอว่าหยุดเรียนแล้วจะรอด ไม่มีทาง แต่บางคนก็ไม่เคยคิดจะทำ เกิดมาเพื่อลอกอย่างเดียว สงสัยสมองคงฝ่อไปหมดแล้ว มาเรียนแต่เช้า เพื่อลอกการบ้าน เหมือนจะขยันเลย ในห้องตอนนั้นมีสองหนุ่มจีน คู่หูดูโอ้ ขี้เกียจเหมือนกัน เค้าตั้งใจเรียนกัน ไอ้สองคนนั่งวาดรูป กินขนม นั่งหลับก็มี การบ้านทำบ้าง ไม่ทำบ้าง มาเรียนกันแต่เช้าเพื่อลอกการบ้าน หันไปหันมาไม่เห็นใคร มันก็ยังจะลอกกันเอง
3.30pmได้เวลาเลิกเรียนแล้ว เย้ๆ ไปไหนกันดี เมืองที่อยู่เป็นเมืองเล็ก ไม่มีอะไรมากมาย ที่ประจำหลักเลิกเรียนของพวกเราจึงเป็นห้องสมุด ไปนั่งทำการบ้าน ไปนั่งคุยกัน บางคนก็ไปนั่งจีบกัน เห็นนะ แต่ต้องเบาๆนะเกรงใจคนอื่นเค้า ฝรั่งเค้าไม่เหมือนคนไทย ถ้าเราทำอะไรผิดเค้าก็จะเดินมาว่าเลย นอกจากห้องสมุดแล้ว ก็ไปดูหนัง เดินเล่น กินกาแฟซักถ้วย แล้วค่อยกลับบ้าน ชีวิตก็จะเป็นแบบนี้แทบทุกวัน เรียบง่าย อาจจะดูน่าเบื่อสำหรับใครหลายๆคน แต่ก็มีความสุขดี ต่างกับชีวิตที่แสนจะวุ่นวายในกรุงเทพฯ