ตอนไปขอวีซ่าเราก็ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง แล้วก็รอผล อีกไม่กี่วัน ก็มีโทรศัพท์ มาว่าให้ไปสัมภาษณ์ โอ้ย! อะไรเนี่ย ฉันจะไปเรียนนะ ไม่ได้ไปสมัครงาน พอไปถึง ก็ไปเจอกับเจ้าหน้าที่ เป็นผู้หญิงอายุ ประมาณเกือบสามสิบ หน้าตาบอกบุญไม่รับ (ไม่อยากจะบอกว่าถึงตอนนี้ก็จะยังจำหน้า จำชื่อได้อยู่ เวลาเผาพริก เผากระเทียม จะได้ไม่พลาด) คำถามแรก ถามว่า ไม่ทราบว่าคุณจะไปทำไมคะ? อ้าวถามแบบนี้ เดี๋ยวก็สวยหรอกเจ๊ แต่ก็เก็บอารมณ์แล้วก็ตอบไปอย่างสุภาพ “ไปเรียนภาษาค่ะ” ประโยคต่อไปคุณเจ้าหน้าที่บอกว่า “ พูดตรงๆเลยนะ ดิฉันไม่เชื่อหรอกค่ะว่าคุณจะไปเรียนจริงๆ”( ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ )เฮ้ย คิดได้ไงวะเนี่ย เอาสมองส่วนไหนมาคิด เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไม่น่าดูถูกกันเองเลย อยากจะรู้นักถ้าเราเป็นลูกคนใหญ่คนโตมีนามสกุลดังคับฟ้า เค้าจะทำกับเราแบบนี้ไหม ตอนนั้นของเริ่มขึ้น โมโหสุดๆ แต่ก็ตอบไป กัดฟันไป ว่า ไปเรียนจริงๆค่ะ แล้วก็ไปแค่ไม่กี่เดือนเอง เงินในบัญชีนี่ก็น่าจะพอใช้ “ แล้วดิฉันจะติดต่อกลับไป” เจ้าหน้าที่ตอบด้วยสีหน้าที่เฉยชา บอกบุญไม่รับเหมือนเดิม (แถมแววตาดูถูก อีกตะหาก เห็นแล้ว อยากจะรำฟ้อนเล็บแล้วต่อด้วยแม่ไม้มวยไทย ให้ดูจริงๆ)ตอนหลังไปเจอกับเพื่อนๆคนไทยที่เรียนโรงเรียนเดียวกันหลายคน บอกว่ามีปัญหาเดียวกัน คือเจ้าหน้าที่ ชอบทำหน้าบอกบุญไม่รับเหมือนกับว่าจะไปขอเงินเค้าใช้ยังงั้นแหละ มีพี่อยู่คนนึง โทรมาร้องไห้กับเจ้าของโรงเรียนว่ามาไม่ได้ เพราะวีซ่าไม่ผ่าน ภาษาอังกฤษก็พูดไม่ค่อยจะได้ต้องให้นักเรียนไทยไปคุย จนได้ความว่าวีซ่าไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่บอกว่า อายุเยอะแล้ว ไม่คิดว่าจะไปเรียน นั่น ให้มันได้อย่างนั้น ให้ตายเหอะ คนพวกนี้ ชอบดูถูกคนอื่นซะจริงๆ เมื่อไหร่จะตายๆไปให้มันหมดโลกซักที แผ่นดินจะได้สูงขึ้น สาธุ….….กลับมาเรื่องวีซ่าต่อ หลังจากนั้นก็รอ รอ รอ ผ่านมาสองอาทิตย์ ก็แล้ว เข้าอาทิตย์ที่สาม ไม่มีการติดต่อกลับแต่อย่างใด ฉันทำอะไรผิดตรงไหนเนี่ย หรือว่าผิดที่ไม่ได้เกิดมาเป็นเศรษฐี มีนามสกุลดัง อะไรๆมันก็เลยไม่ง่าย ตั๋วเครื่องบินก็ซื้อแล้ว จะบินอยู่อาทิตย์หน้าแล้วเนี่ย วีซ่าก็ยังไม่ได้ เราก็โทรไปหาคุณเจ้าหน้าที่ ได้คุยบ้าง ไม่ได้บ้าง เกือบจะถอดใจแล้ว แต่ด้วยความกรุณาของคุณเจ้าหน้าที่ (ที่เพี่งจะมี) ผ่านวีซ่าให้วันสุดท้าย(บินวันรุ่งขึ้น) ตอนโมง4เย็น แล้วสถานทูตปิด5โมงเย็น มีการบอกให้รีบๆมาด้วยนะ แล้วบ้านอยู่จรัญฯ สถานทูตอยู่ถนนวิทยุ คิดดู จะให้บินไปหรือไงเจ๊ ดีนะที่รถไม่ติด เลยไปทัน ตอนหลังก็ได้มาค้นพบว่า ถ้าคุณเอาวีซ่าไปให้พวกagencyทำให้นั้นง่าย กว่าหลายสิบเท่า หรือจะให้เค้าติดต่อโรงเรียนให้ด้วยก็ได้แต่ในกรณีที่คุณติดต่อโรงเรียนด้วยตัวเอง ก็ให้เตรียมหลักฐานให้พร้อม กับเงินค่าดําเนินการ 1500-2000 บาทแล้วแต่ที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าขึ้นไปเท่าไหร่แล้ว แล้วก็กลับไปนอนตีพุงรอที่บ้านได้เลย รอไม่นานคุณก็จะได้วีซ่ามา โดยที่ไม่ต้องไปเองให้เสียอารมณ์ เสียเวลาและเสียสายตา
เอาหละ ในที่สุดก็ได้ไปซักที การไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตกับภาษาอังกฤษที่มีอย่างจำกัด เอาวะ ไปตายเอาดาบหน้า วันรุ่งขึ้น ก็ไปสนามบิน เอากระเป๋าไปชั่ง เค้าจะให้ประมาณ20 kg สำหรับeconomy class น้าหนักดันเกินไป3โล ตามปกติแล้วเค้าจะคิดเงินเพิ่มตามน้าหนักที่เพิ่มขึ้น โลละประมาณ 500บาท แต่ด้วยความเมตตาและเห็นใจของคุณเจ้าหน้าที่ ที่เห็นว่าเราจะไปเรียน เลยอนุโลมให้ รอดไปไม่เสียตังค์ พอใกล้เวลาก็สั่งลา พ่อแม่พี่น้อง ที่มาส่ง คิดๆไปใจก็หายหลังจากที่เดินเข้าประตูไปแล้ว ก็จะเหลือเราแค่คนเดียว กลัวไปหมด ตอนนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนไปต่อเครื่องที่สิงคโปรนี่ ฉันจะรอดไหมเนี่ย ถ้าตกเครื่องละก็ เหอๆ พอขึ้นไปนั่งบนเครื่องบิน ก็คิดหวั่นๆดันไปคิดถึงหนังสยองทั้งหลายแหล่ ที่เกี่ยวกับเครื่องบินตก ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นพนม กับหลวงปู่ที่แม่ให้มา “ ขอให้ลูกรอดไป อย่างปลอดภัยด้วยเถอด สาธุ ”ก่อนเครื่องจะออกพนักงานบนเครื่องก็จะมาอธิบายอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็เดาได้ว่า เป็นทางออกฉุกเฉินอยู่ตรงไหน กับวิธีใช้ร่มชูชีพ เพราะเห็นๆอยู่ อิอิ พออธิบายเสร็จก็เดินมาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง ซักพัก เครื่องบินก็เรี่มออก ลาก่อนเมืองไทย ช้านจะไป New Zealand แล้ว
จาก กรุงเทพ ถึง Christchurch airport ใช้เวลารวมประมาณ 12 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นส่วนมากจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ใดที่หนึ่ง อาจจะเป็นSingapore หรือ Auckland นั่งไปก็เกร็งไป ถ้าคุณบินกับ Singapore airlineคุณก็จะโชคดีหน่อย เพราะว่าคุณจะมีTV ส่วนตัว สามารถดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ได้ แบบไม่ต้องเกรงใจใคร อาหารบนเครื่องก็จะมีหลายตัวเลือก ปลา เนื้อ ไก่ หมู และตบท้ายด้วยของหวาน อาจจะเป็น ผลไม้รวมหรือไม่ก็ไอศกรีม พอถึงตอนนอน ก็หลับๆตื่น ๆเครื่องบินตกหลุมอากาศทีก็สะดุ้งที เป็นแบบนี้ไปตลอดจนถึงสิงคโปร์ พอเครื่องจอดปุ๊ป เราก็เดินไปหาประตูที่เราจะต้องขึ้นเครื่องก่อนเลยว่าอยู่ตรงไหนจะได้ไม่พลาด พอมีเวลาเหลือก็ไปเดินดูของในสนามบิน และ ที่Duty freeสินค้าปลอดภาษี แต่อย่าเดินจนเพลินหละ ใกล้เวลาแล้วไปรอที่ประตูทางออกดีกว่า กลับขึ้นเครื่องอีกที คราวนี้ใช้เวลาบิน อย่างน้อย 10ชั่วโมง นั่งๆนอนๆ กินๆ บนเครื่องจะมีบอกตลอดว่า ใช้เวลาบินไปเท่าไหร่แล้ว และต้องบินอีกนานเท่าไหร่และเวลาปลายทางนั้น ช้าหรือเร็วกว่ากี่ชั่วโมง พอใกล้จะถึงแล้วก็อย่าลืมปรับนาฬิกา ว้าว อีกไม่กี่นาทีเราก็จะได้เหยียบผืนแผ่นดิน ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกแล้ว ตื่นเต้นจริงๆเลย เครื่องค่อยๆบินผ่านกลุ่มเมฆลงไป มองลงไปจากหน้าต่าง ก็เริ่มจะมองเห็นภูเขาบ้างแล้ว ตอนที่ไปนั้นเป็นหน้าหนาวพอดี จึงได้เห็นภูเขาสีขาวปกคลุมไปด้วยหิมะ เหมือนกับภาพวาดเลย พอเครื่องลงอีก ก็จะเห็นพื้นที่สีเขียวมากมายเแบ่งเป็นสี่เหลี่ยมๆ สีเขียวเข้มอ่อน ต่างกันไปเหมือนกับเอาสนามกอลฟเป็นพันๆมาต่อกัน พอเครื่องลงใกล้พื้นดินอีกนิด ก็จะเห็นจุดสีขาวๆเต็มไปหมด เอ๊ะ อะไรนะ มันคือ แกะนั่นเอง คนที่นี่เค้าจะนิยมเลี้ยงแกะกันมาก ถือว่าเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศนี้เลยก็ว่าได้ อีกไม่ถึงอึดใจเครื่องก็ลงจอดสนิท และแล้วก็ถึงซักที New Zealand