กิจกรรมต่างๆ
2017
July
13
เก็บเงินเอง เรียนโท U top ในออสเตรเลีย วางแผนยังไง ถึงจะทำได้สำเร็จ?
โดย : Adminstrator ( จำนวนผู้เข้าชม 255225 คน )

 

"ตอนเด็กๆผมเคยคิดว่าภาษาคืออุปสรรคหลักในการมาเรียนต่อเมืองนอก พอโตมาถึงรู้ว่าอุปสรรคที่แท้จริงคือเรื่องเงินนี่แหละ"

ประโยคนึงที่ทางเราคุยกับกับวินเรื่องการเก็บเงินเรียนโทเอง ซึ่งจริงมากๆสำหรับคนที่อยากเรียนต่อ

ภาษานั้นแน่นอนว่าเป็นอุปสรรค
แต่ถ้ามีความพร้อมด้านการเงิน ความพร้อมด้านการเรียนก็ตามมาเอง เพราะเราก็สามารถลงทุนโดยการเรียน

ภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยที่เราอยากเรียนต่อเพิ่มเติมได้เลย
 

แต่สำหรับคนที่จะเก็บเงินส่งตัวเองเรียนเมืองนอก แน่นอน
ทุกอย่างอาจจะไม่ง่ายขนาดนั้น 


เรามาอ่านประสบการณ์ของน้องวิน บัณฑิตหมาดๆ จาก
Monash University , Melbourne ว่าเค้าต้องวางแผนยังไงบ้าง

เตรียมตัวนานขนาดไหน วางแผนอย่างไร ต้องผ่านอะไรมาบ้าง เสียสละอะไรบ้าง กว่าจะมาถึงตอนนี้ได้

 

วินอยู่ออสเตรเลียมานานแค่ไหนแล้ว เริ่มต้นจากอะไรทำไมถึงคิดมาเรียนต่อที่นี่

อยู่ที่ออสเตรเลียมา 3 ปีกว่าแล้วครับ 

ตอนแรกเริ่มต้นจาก Work & Holiday  1 ปีแล้วก็เรียน ป.โท อีก 2 ปี

หลังเรียนจบตอนนี้ถือวีซ่า 485 (Post Study Work Visa) อยู่ซึ่งเปิดโอกาสให้เราได้ทำงานอย่างอิสระหลังจากเรียนจบอีก 2 ปี ก็

ถือว่าหาประสบการณ์และเก็บเงินเพิ่มเติมหลังเรียนจบไปด้วยครับ

 

ผมมีคิดไว้ตั้งแต่หลังจบปริญญาตรี มาซักพักนึงแล้วว่าจะเรียนต่อโท

ตอนแรกก็ดูอยู่ว่าจะเรียนที่ไทยหรือต่่างประเทศดี

คิดไปคิดมาก็เรียนเมืองนอกก็แล้วกัน คงได้ภาษีดีกว่า (ตอนนั้นคิดอย่างนั้น)

พอสรุปแล้วว่าเราอยากเรียนเมืองนอก เราก็มาดูเรื่องความเป็นไปได้ต่างๆ

ตั้งใจไว้ตอนนั้นว่าต้องหาทางส่งตัวเองเรียน เพราะไม่อยากให้ลำบากพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ต้องส่งน้องด้วย

 

เรียนจบอะไรมาที่ไทย แล้ววางแผนการเก็บเงินไว้อย่างไรบ้าง และ ทำไมถึงเลือกออสเตรเลีย

เรียนจบที่จุฬา คณะ Information Communication Engineering (วิศวกรรมการสื่อสาร)

เรียนจบมาก็ไปทำงานในสายที่เราเรียนมากับบริษัทแรกในบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง ซึ่งชอบงานๆนั้น เพราะได้ใช้ความรู้ ความสามารถที่เรียนมา

ทำได้ประมาณครึ่งปี มีโอกาสที่ดีเข้ามาคืองานจากอีกที่หนึ่ง ซึ่งเงินเดือนดีมาก เนื้องานอาจจะไม่ได้ชอบเท่าเดิม

แต่ก็น่าสนใจ และตรงกับเป้าหมายของเราที่ต้องการเก็บเงินไปเรียนต่อด้วย

 

จริงๆเงินนี่ก็มีเก็บมาตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว แต่ก็มาเก็บตอนทำงานมากขึ้นอีก

ไม่ได้วางแผนว่าจะต้องเก็บเท่าไหร่ แต่วางไว้คร่าวๆว่าอย่างน้อยก็ควรจะเก็บให้ได้ซัก 2 เทอมของค่าเรียน

ที่ไม่ได้คิดว่าต้องเท่าไหร่เพราะว่าคิดว่ายังไงก็ต้องเก็บให้ได้มากที่สุดอยู่ดี

 

ตอนนั้นก็เก็บได้ราวๆ 70% ของเงินเดือน ด้วยว่าเป็นคนไม่ใช้เงินเปลืองอยู่แล้ว

และได้เงินเดือนดีพอควรก็เลยเก็บในไทยได้เทอมกว่าๆสำหรับค่าเรียนในออสเตรเลีย (ราวๆ 5 แสนบาท)

พอเริ่มเห็นว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นก็เริ่มหาข้อมูลเรื่องมหาวิทยาลัย

ตอนแรกมีดูไว้ที่อังกฤษ อเมริกา แล้วก็ออสเตรเลีย

แต่ตอนนั้นพี่สาวเองก็เรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย เราก็เลยมีความรู้เกี่ยวกับระบบการศึกษาในออสเตรเลียอยู่บ้าง

แล้วพอดีมีคนแนะนำเรื่องโครงการ Work & Holiday Visa มาด้วยคิดคำนวณต่างๆแล้ว ออสเตรเลียก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

 

ทำงานได้ ไม่ไกลบ้านมาก มีเวลาทำงานเก็บเงินต่ออีกซักปีแล้วก็ค่อยเริ่มเรียนจากนั้นก็ตัดสินใจมาด้วย Work & Holiday Visa ก่อนครับ

ตอนมา Work and Holiday Visa เป็นยังไงบ้าง

ตอนมาออสเตรเลียช่วงครึ่งปีแรก (ต้นปี 2013) ก็ไปอยู่ที่ Sydney ก่อน ก็มุ่งไปที่ร้านอาหารไทย ช่วง 2 สัปดาห์แรกหางานไม่ได้เลย

ตกงานอยู่สักพัก รู้สึกว่างานหาค่อนข้างยาก  แต่สุดท้ายก็ได้งานโรงงานอาหารยิว
และทำไปจนครบ 6 เดือนก็ตัดสินใจย้ายมาเมลเบิร์น

ตอนนั้นก็เก็บไปใช้ไป เมื่อก่อนนี้ทำรายรับรายจ่ายแบบละเอียดมาก แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เลิกจดแล้วครับ

พอย้ายมาที่เมลเบิร์นก็ได้งานที่ร้านอาหารไทยกับร้านอาหารเวียดนามอยู่สองสามร้าน รับงานทุกวัน พยายามตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก

คิดตั้งแต่เรื่องค่าเช่า ค่าอาหาร ท่องเที่ยวนี้ลืมไปได้เลย ก็ต้องพยายามสื่อสารกับคนรอบข้างให้เข้าใจว่าเรามีเป้าหมายอย่างนี้นะ

เพราะฉะนั้นเรื่องกินเรื่องเที่ยวก็ต้องตัดออก

 

ช่วงนั้นคนที่คบกันก็ตัดสินใจย้ายเมืองไป ตอนนั้นเราก็เหลือวีซ่าราวๆ 4-5 เดือนก็เลยตัดสินใจว่าค่อยไปเจอกันที่ไทย

เพราะเราอยากทำตามเป้าหมายให้ได้

จนครบปีก็เก็บได้อีกประมาณหมื่นกว่าดอล ก่อนจบ
Work & Holiday วีซ่าก็เริ่มติดต่อเอเจนท์เพื่อดูเรื่องยื่นวีซ่านักเรียน

ทำไมถึงเลือก Monash University ที่ Melbourne

ก่อนจะเริ่มเรียนก็เก็บเงินได้ประมาณ 2 เทอมกว่าๆ (รวมกับเงินที่ไทยก็น่าจะ7-8แสน ถือว่าในออสเตรเลียก็มาเก็บเงินได้อีกประมาณ3-4แสน ในช่วงถือ Work and Holiday Visa)

ปัจจัยหลักที่ใช้ตัดสินใจเลือกเรียนหลักๆก็พยายามดูมหาวิทยาลัยในกลุ่ม Group of Eight (กลุ่มมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำจากประเทศออสเตรเลีย) ก่อน

แล้วก็ดูว่าเราทำงานได้ด้วยมั๊ยในระหว่างทีเรียน

ดูไปดูมาก็มีอยู่ 2 เมืองที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือ Sydney กับ Melbourne แต่ท้ายที่สุดก็มาตัดกันที่เรื่องโอกาสในการเข้าเรียนและค่าเทอม

ก็เลยได้มองที่ Monash University เพราะมีโอกาสเรื่องทุน

การศึกษาเข้ามาช่วยด้วย (ทุนเรียนดีของทาง Monash University ให้กับเด็กนักเรียนที่เกรดถึงและคุณสมบัติครบตามที่กำหนด)

ตกอยู่ประมาณ $2,500 ต่อเทอม

ซึ่งตรงนี้ช่วยได้เยอะเลย แต่เราก็ต้องมีเกรดที่ดีจากที่ไทย และต้อง maintain เกรดในระหว่างที่เรียนด้วย

เราก็เอามาหักลบเหลือค่าเรียนที่ต้องจ่ายจริงๆเทอมละ $12,000 กว่าๆ (ราวๆ 3 แสนกลางๆ ถ้าคิดเป็นเงินบาท)

คิดคำนวณแล้วก็ตั้งเป้าว่า ทุกเทอมเราจะต้องเก็บเงินให้ได้อีกเท่าไหร่เพื่อที่จะสามารถจ่ายค่าเรียนเทอมต่อไปได้ทันเวลา 

 

การวางแผนเรื่องจ่ายค่าเทอม

ก็ต้องวางแผนตั้งแต่เรื่องของ Intake ที่เข้าเรียนเลย

ผมตัดสินใจเข้าเรียนตอนช่วงเทอม 2 (เดือน July) เพราะมันดีตรงที่รวมแล้วจะมีปิดเทอมใหญ่ 2 รอบ (ครั้งละ 3 เดือนในช่วง Nov-Jan) โดยในออสเตรเลียช่วงปิดเทอม นักเรียนสามารถทำงานได้ full-time ด้วยครับ

ถ้าเราลงเทอมแรกจะมีปิดเทอมใหญ่แค่ครั้งเดียวหลังจบปีแรกและต้องเรียนติดต่อกัน 2 เทอม ในแง่ความเป็นไปได้ในการเก็บเงินเพิ่มอาจจะทำยากกว่า 

 

ตอนนั้นยังต้องกลับไปต่อวีซ่าที่ไทย ช่วงต้นปีก็กลับบ้านไปพักผ่อนประมาณสองเดือน กลับมาเรียนภาษาอีกสองเดือน ถึงจะเริ่มเปิดเทอมสองพอดี

 

ความรู้สึกตอนจ่ายเงินค่าเทอมก้อนแรก

ก็เบาดีนะครับ โล่งไปเลย(หัวเราะ) แต่ถ้าเบาจริงๆคือตอนจ่ายก้อนสุดท้ายครับ (หัวเราะ)

 

มันหายวับไปเลย แบบพอดีมากๆ คงเหลือประมาณพันสองพันเหรียญ แต่เราก็ไม่ได้ต้องขอใคร และพิสูจน์ได้ว่าเราทำสิ่งที่เราตั้งใจไว้ได้

 

ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่นอกเหนือจากค่าเทอม เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน ฯลฯ

ค่าที่พัก ค่าหนังสือต่างๆ เราก็ต้องคิดว่าเราทำงานไปด้วยเราก็ต้องอยู่ให้พอต่อสัปดาห์ ผมทำงานทั้งหมด 4 กะ 

ต่อให้รายงานเยอะแค่ไหนผมก็ไม่เคยหยุดนะ ผมหยุดแค่เฉพาะช่วงสอบที่วันมันชนกัน

หักค่าใช่จ่ายแล้วก็ยังสามารถเก็บเงินได้อีกประมาณ $200 ต่อสัปดาห์ แต่มันก็ต้องประหยัดด้วย อย่างอาหารผมก็กินที่ร้านที่ผมทำงาน

การเดินทางก็ใช้วิธีปั่นจักรยานเอา ใช้เวลาปั่นมหาวิทยาลัย 15 นาที ไปทำงาน 30 นาทีก็ถือว่ายังโอเค แล้วก็ใช้เวลาไปนั่งทำงานที่

มหาวิทยาลัยกลับดึกเท่าไหร่ก็ได้

เคยปั่นกลับบ้านดึกๆ ตำรวจก็เรียกมาถามว่าทำอะไรดึกๆดื่นๆ เราก็บอกเรียนอยู่ Monash ครับ ทำการบ้าน ก็จดๆชื่อกันไปโอเค ไม่มีอะไร

 

เรื่องการจัดเวลาเรียนและเวลาทำงาน

ผมก็ให้ความสำคัญกับเรื่องตารางเรียนเป็นหลักก่อน เพราะนอกจากดีกับเราเองในแง่วิชาความรู้ แล้วยังเป็นหน้าที่ที่ต้อง maintain เกรดด้วย

หากเกรดไม่ดีโดนตัดทุนก็หมายความว่าจะมีรายจ่ายเพิ่มมาอีก $2,500 (เกือบๆ 7 หมื่นบาท) ต่อเทอม

ซึ่งหมายถึงเกรดเราจะตกไม่ได้ด้วย ไม่งั้นเราอาจจะเก็บเงินได้ไม่ทันค่าเทอมแบบเต็ม

จากนั้นเราก็หางานที่มันลงเวลาได้พอดี จริงๆก็อยากหางานร้านฝรั่งนะ แต่ว่าเวลามันไม่ได้

ถ้าเป็นร้านไทยเราก็ยังคุยกันได้หน่อย อย่างถ้าลงเรียน 4 วิชาก็เรียน 4 วัน วันละ 3-4 ชั่วโมง แล้วแต่ เราก็รับงานตอนเย็นเอา

 

แล้วเอาเวลาไหนทำการบ้านอ่านหนังสือ?

ตอนเช้าก่อนเข้าเรียนกับช่วงบ่ายก่อนเข้างาน คือถ้าเรียนบ่ายก็ปั่นจักรยานไปมหาวิทยาลัยตอนเช้า เรียนเสร็จก็ทำการบ้านต่อก่อนไปทำงาน

บางทีเลิกงานแล้ว สี่ห้าทุ่มก็ต้องมานั่งทำการบ้านต่อ คือมีเวลาตอนไหนก็ต้องเอาไปทำรายงาน ทำการบ้านให้เสร็จครับ

 

ไม่มีเวลาไปเที่ยว พักผ่อน หรือ Vacation หลังสอบเสร็จ?

ทำการบ้านนี่คือพักผ่อนมากสุดละครับ

ด้วย study load และ work load และแพลนการเเรียนและการเก็บเงินของเรา มันทำให้เราเองต้องทำตามแพลนให้ได้

จบเทอมก็ต้องทำงานเก็บเงินต่อ

 

ค่าใช้จ่ายต่อสัปดาห์เท่าไหร่?

ประมาณ $200 กว่าเหรียญ ค่าใช้จ่ายที่หนักที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องบ้าน สัปดาห์ละ $170 แต่ก็รวมบิลรวมทุกอย่างแล้ว

ค่าเดินทางไม่ได้เยอะเพราะผมปั่นจักรยานเอา จ่ายค่าเดินทางประมาณ 2 วัน วันละ $7 แล้วก็มีค่ากินมื้ออื่นบ้าง แต่ผมก็กินจากร้านเอานั่นแหล่ะ

ส่วนใหญ่ถ้าซื้อก็ไม่กี่เหรียญก็กลับมาทำกับข้าวเอง

 

แล้วรายได้ล่ะ?

ก็ประมาณสัปดาห์ละ $400 เก็บได้ประมาณสัปดาห์ละ $200 นับจริงๆผมก็เก็บได้แค่นิดหน่อยๆ จะไปเก็บได้เยอะก็ช่วงปิดเทอม

อาจจะมีไปของานเขาเพิ่ม แต่มันก็ไม่ได้เยอะมากหรอกครับ

 

ถ้าจะให้วางแผนว่าต้องเก็บเท่าไหร่จริงๆล่ะ?

สมมุติถ้าเริ่มเรียนเทอมแรก จ่ายค่าเทอมแรกไปแล้ว

ค่าเทอมที่สองก็ควรจะมีพร้อมไว้แล้ว

ที่เก็บอยู่ควรจะเป็นค่าเทอมที่สาม

 

เราจะมีเวลาเทอมแรกที่ต้องเรียนให้ดี เเละเก็บเพิ่มด้วย และไปเก็บต่อในช่วงปิดเทอมอีก 3 เดือนก่อนเริ่มเทอมสองในปีถัดไป

 

มีเป้ารายสัปดาห์ไหมว่าต้องเก็บอย่างน้อยให้ได้สัปดาห์ละเท่าไหร่

ต้องเก็บให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ไปกระทบแพลนอื่นๆ เช่นเรื่องเรียน หรือการรักษาสภาพนักเรียนทุนครับ

 

มีบางคนพูดว่า “เรียนโทก็ดี แต่ก็ต้องทำงาน Professional ด้านที่เราเรียนมาด้วยนะ”

คืออย่างผมพอจบแล้วก็อยากจะทำ PR (Permanent Residency) นะ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องไปฝึกงานในด้านที่เรียนมา

ผมเองก็เคยมองนะครับแต่เราทำไม่ได้ เพราะฝึกงานส่วนมากฝึกฟรี แต่เราต้อง
Support ตัวเองตลอด

ถ้าทำงานไม่มีรายได้เราก็อยู่ไม่ไหว ส่วนการฝึกงานที่มีรายได้ก็มีนะครับ แต่การแข่งขันสูง โอกาสได้ก็ค่อนข้างยาก

เสียดายเหมือนกันนะ ประสบการณ์ก็อยากได้แหละ แต่เงินก็ต้องเก็บถึงจะเรียนได้ เราก็ต้องโฟกัสกับอะไรที่อยู่ตรงหน้าก่อน

 

มาถึงตอนเทอมสุดท้ายที่ต้องจ่ายเงินแล้ว

จริงๆพอมาถึงตรงนี้มันไม่ค่อยกังวลมากแล้ว เพราะเรารู้ว่าเรามีเงินพอแล้ว ตอนที่เกรดเทอม 3 ออก รู้ตัวว่าเรายังได้ทุนอยู่

ผมก็รู้แล้วว่าผมทำสำเร็จแล้ว 

เทอม 4 ก็เรียนแบบสบายใจไป (สบายตัวด้วย ค่าเรียนจ่ายไปหมดแล้ว)

 

ช่วงตอนที่หนักมากๆน่าจะเป็นช่วงเทอมหนึ่งกับเทอมสองมากกว่า ที่ต้องเก็บเยอะๆ สำหรับเทอม 3 และ 4 

 

เทอมท้ายๆที่ต้องห่วงมากกว่าคือเรื่องเรียน เพราะวิชามันก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ เกรดเราก็ต้องพยายามรักษาให้ดีไว้เพราะมีเรื่องของการให้ทุนมาเกี่ยวข้อง

มีบางตัวแกว่งบ้างแต่ก็รอดมาได้ มองดูแล้วเวลาก็ค่อนข้างจะสอดคล้องกันพอดี

คือเทอมแรกๆก็ต้องเก็บเงินให้ได้เยอะๆเพราะยังเรียนไม่หนักมาก

เทอมหลังๆต้องเรียนหนักขึ้น เวลาก็ต้องทุ่มไปกับการเรียนมากกว่าการทำงานเก็บเงิน

 

ได้กลับไทยบ้างไหมช่วงที่เรียนสองปีที่ผ่านมา

ไม่ได้กลับเลยครับ เพิ่งได้กลับไปพักนึงตอนที่รู้ว่าเก็บเงินค่าเทอมได้ครบแล้วนี่แหละ ทำงานไปพักนึงจนใกล้จะเปิดเทอมถึงจะกลับ

ก็ถือว่าพักไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ ตอนนั้นแม่บอกเหนื่อยก็กลับนะ

 

ตอนนั้นที่บ้านมีถามมามั๊ยว่าอยากให้ช่วยอะไรบ้าง

ก็มีครับ อย่างแม่ถามมาว่าจะให้เขาช่วยอะไรมั๊ย แต่เราก็ไม่เอา อย่างคุณน้าก็ถามมา เขาก็ให้เงินติดตัวมาด้วยนะ เป็นเงินตั้งต้น

 

ก็ถือว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาเราก็เสียสละอะไรเยอะเหมือนกันนะ อยากกลับบ้านแต่ก็ต้องเลื่อนไป เรื่องบันเทิงท่องเที่ยวนี้ตัดออก

เพราะก็ต้องมีวินัยกับเรื่องการเรียนและการทำงาน ทีนี้พอมาถึงจุดที่ทำสำเร็จไปแล้ว เป้าหมายต่อไปของเราคืออะไร

ผมก็ตั้งใจจะต่อ PR นะ (Permanent Residency : สิทธิประชากรถาวรในออสเตรเลีย) ผมเลยเลือกคอร์สเรียนให้มันสอดคล้องกับ

PR มาตั้งแต่ต้นเลย

ถ้าเรียนแล้วมันมีทางไปต่อก็เลือกเผื่อไว้ ตอนนี้ก็มีเรื่อง
IELTS, PTE ที่ต้องได้อย่างน้อย 7.0 ถึงจะมีสิทธิ์ยื่นเรื่องต่อ

แล้วก็รายละเอียดอื่นๆอีกที่ก็พยายามดูๆหาทางอยู่

สำเร็จเรื่องเรียนมาแล้วรอบนึง ทีนี้ PR ก็เหมือนเป็นเส้นทางที่ต้องเดินทางต่อ

ใช่ครับ มันก็คือเป็นบทต่อไป แต่อย่างน้อยก็คือไม่มีค่าใช้จ่ายหนักๆรออยู่อีกแล้ว ตอนนี้ก็ทำงานไป เก็บตังค์ไว้บ้าง แต่ก็มีเปลี่ยนความคิดเล็กน้อยนะ

ตอนนี้รู้สึกว่ามีตังค์ก็ใช้ไปเหอะ (หัวเราะ)

 

ให้รางวัลกับตัวเองยังไง

เก็บเงินครับ (หัวเราะ)

 

ถ้าไม่ได้ตัดสินใจมาเรียนต่อที่ออสเตรเลีย คิดว่าเราน่าจะทำอะไรอยู่ตอนนี้

ก็คงเรียนต่อที่ไทยนั่นแหล่ะครับ ก็คงเรียนไปทำงานไป จริงๆก็มีจุดนึงเหมือนกันนะที่คิดว่า “เออนี่เรามาทำอะไรที่นี่”

เพื่อนผมคนนึงที่เริ่มทำงานที่ไทยพร้อมกัน

ตอนนี้ก็ยังทำอยู่นะ 5 ปีแล้ว ตอนนี้ก็เงินเดือนเยอะ เดินทางไปนู่นไปนี่ แต่ก็กลับมาคิดอีกว่า

เราเลือกของเราแล้วก็ต้องเดินไปให้สุดทางของเรา จะดีจะแย่ แต่เราก็เลือกที่เราคิดว่ามันดีที่สุด ณ จุดๆนั้น

 

ถ้าได้ PR ที่นี่แล้วยังไงต่อ

แม่บอกถ้าอยู่ได้ก็อยู่ไปเถอะ แต่ให้เอาน้องมาด้วย (หัวเราะ)

 

มองเห็นตัวเองยังไงในอีก 5 ปี

ภายใน 2 ปีนี้ก็มุ่งเรื่องทำ PR แต่ถ้าไม่ได้ก็กลับไทย ดังนั้นแผน 5 ปีข้างหน้าของผมก็จะขึ้นอยู่กับปีสองปีนี้ครับ

 

มีอะไรอยากบอกคนที่คิดจะมาเรียนต่อบ้าง

ตอนเด็กๆคิดว่าอยากมาเรียนเมืองนอกก็คิดว่าภาษาคืออุปสรรค พอโตมาถึงรู้ว่าอุปสรรคที่แท้จริงคือเงินต่างหาก (หัวเราะ)

 

คำแนะนำสำหรับคนที่อยากจะ Self-Support แบบเรา

ถ้าแนะนำแบบสั้นๆ คือต้องวางแผนทุกขั้นตอน และมีวินัยตามแผนนั้นวางแผนให้ realistic และทำให้ได้ แม้จะต้องเสียสละอะไรหลายๆอย่างไร

ในระหว่างทาง แต่ก็ต้อง trade off ว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับเรา อะไรคือสิ่งที่เราอยากได้ครับ