กิจกรรมต่างๆ
2017
March
13
ประสบการณ์ลุยทำงานและท่องเที่ยวใน Melbourne, Northern Territory และ Tasmania
โดย : Adminstrator ( จำนวนผู้เข้าชม 11437 คน )

“จริงๆแล้วเหตุผลเราน่าจะคล้ายกับหลายๆคน คือเบื่อชีวิตเดิมๆ เบื่อกรุงเทพฯ อยากออกไปเที่ยวไปดูโลก”

  จากตอนที่เราอยู่ไทยก็ไม่เคยไปไหน ไมได้ทำอะไรเลย ทำแต่งานอย่างเดียว สุดท้ายเลยตัดสินใจลาออกจากงานโรงแรมที่ทำอยู่ แล้วขอเวลากับแม่ 1 ปี มาหาประสบการณ์ หาข้อมูลหลายอย่าง จนมาเจอโครงการ Work and  Holiday พอเราดำเนินการสมัครเสร็จ ได้เอกสารวีซ่าเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางเลย

เริ่มต้นทำงานที่แรกในร้านอาหารไทยในตัวเมืองเมลเบิร์น โดยได้ค่าตัวอยู่ที่ชั่งโมงละ $10

  ตอนแรกเราเลือกที่จะมาเมลเบิร์น เพราะว่าคนส่วนมากแนะนำว่าเมืองค่อนข้างใหญ่ งานหาไม่ยากมากนัก พอมาถึงเราก็พยายามหางานทุกอย่างเท่าที่เราจะหาได้ ทั้งส่งอีเมล์หรือไปฝาก Resume ตามร้านที่เขาเปิดรับสมัคร จนผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ก็ได้งานที่แรกเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารไทยในตัวเมือง CBD ซึ่งเขาก็จ่ายเราที่ชั่วโมงละ $10 ทำงานประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน เรื่องของการทำงานก็ไม่ได้ยากมากนัก เพื่อนร่วมงานก็มีทั้งคนไทยและต่างชาติ อย่างพ่อครัวก็จะเป็นคนมาเลเซีย หรือเจ้าของร้านก็จะเป็นคนเวียดนาม แต่สิ่งที่เรารู้สึกว่าต่างจากที่ไทยคือ ตอนเราอยู่ไทยเวลาทำงานกับคนต่างขาติ เขาก็พยายามที่จะเข้าใจเรา กลับกันกับที่นี่เราจะต้องพยายามเข้าใจเขาแทน ด้วยความที่ว่าเราทำงานเป็น Front ที่โรงแรมมาก่อน ภาษาก็ค่อนข้างโอเค สามารถสื่อสารได้

  หลังจากเราทำงานไปประมาณ 2 เดือนก็มีความคิดที่จะเปลี่ยนงาน ส่วนหนึ่งเพราะว่าค่าใช้จ่ายมันค่อนข้างสูง เนื่องจากที่ร้านเขาไม่ได้ให้ชั่วโมงเรามากนักและตารางงานก็ไม่แน่นอน ตัวเราเองก็พักอยู่ Share house มันจะมีค่าเช่าห้องที่ต้องจ่ายอาทิตย์ละ $160 พอดีว่าตอนนั้นในกรุ๊ปไลน์ของคนที่มา Work and Holiday ก็มีประกาศรับสมัครคนไปทำงานในฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่แถว Springvale ให้ค่าแรงที่ชั่วโมงละ $14.5 และมีที่พักให้อยู่ที่อาทิตย์ละประมาณ $90-100 เราก็เลยตัดสินใจเก็บกระเป๋าไปเลย

ทำงานฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ได้แค่ 2 อาทิตย์ก็ลาออก แม้(ดูเหมือน)ว่าจะได้ค่าแรงมากกว่า

  จากภาพที่เราคิดไว้ว่าทำงานเก็บสตรอว์เบอรรี่สบายๆเหมือนที่เราเห็นในละครหรือภาพยนต์ แต่ในความเป็นจริงคือเราต้องก้มเด็ดแบบนั้นอยู่ทั้งวัน แล้วบางครั้งบางงานก็ไม่ได้จ่ายเป็นชั่วโมงทั้งหมด บางทีถ้าเป็นงานเหมาเขาก็จะจ่ายอยู่ที่กิโลละ 90 เซ็นต์ กลายเป็นว่าต้องเก็บมากถึงจะได้เงินมาก แล้วก็ต้องทำงานตั้งแต่เช้าจนเย็น หรือถึงดึกไปเลยก็มี ช่วงเวลาพักก็สั้นๆประมาณ 10 นาที ไม่ว่าฝนตกหรือว่าแดดออกก็ต้องเก็บ เพื่อนร่วมงานส่วนมากก็จะเป็นคนไทย เพราะว่า  Contractor เป็นคนไทย แต่ก็จะมีทั้งคนที่ถือวีซ่า WAH, วีซ่านักเรียน, วีซ่าท่องเที่ยว หรือบางคนก็โดดวีซ่ามาทำงานก็มี ซึ่งอย่างเราที่ถือวีซ่าแบบถูกกฎหมายก็อาจจะเป็นต่อกว่าบ้าง แต่ในความรู้สึกเราคืองานนี้มันเหนื่อยมาก เหนื่อยที่สุดในชีวิต ทำงานได้แค่ 2 อาทิตย์เราก็ตัดสินใจลาออกเพราะว่าเก็บเงินไม่ได้อย่างคิดด้วย

กลับมาตั้งหลักใหม่ในเมืองกับงานที่ 3 ที่โรงงานขนมปังและรับจ้างเป็นพี่เลี้ยงเด็ก

  พอเรากลับมาในเมืองก็เริ่มหางานใหม่อีกรอบหนึ่ง คราวนี้ได้เป็นงานในโรงงานขนมปัง ทำเป็น Contract อยู่ที่ชั่วโมงละ $21 ตัวงานก็ไม่ได้ยากมาก เราจะยืนอยู่หลังเครื่องคอยแพ็คขนมปังที่อบเสร็จแล้วลงกล่อง ส่วนเวลาว่างที่เหลือก็ไปรับจ้างเป็นพี่เลี้ยงเด็ก 1 คน ประมาณ 3 วันต่อสัปดาห์ วันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง เป็นช่วงที่คุณแม่น้องเขายุ่ง ก็มีพาไปเดินเล่น, ทานข้าว, หรือว่าพาน้องไปเข้านอน ในระหว่างนั้นเราก็ส่งใบสมัครงานอื่นๆไปด้วยทั้ง House Keeping, งานห้องอาหาร หรือว่า Cashier ก็มีเรียกไปสัมภาษณ์งาน House keeping  แต่ก็ไม่ผ่าน เพราะเขาบอกว่าเราไม่มีประสบการณ์ 

การย้ายเมืองครั้งใหม่ กับงานที่ 4 ที่ Northern Territory

  หลังจากที่เราสมัครงานไปเรื่อยๆ จนวันหนี่งมีโทรศัพท์มาจากโรงแรมที่ Northern Territory โทรมาสัมภาษณ์งาน จนที่สุดเราก็ได้งานในตำแหน่ง Receptionist เป็น Contract 6 เดือน หน้าที่หลักๆคือคอยดูแลแขกในการ Booking, Check-in, Check-out จ่ายค่าแรงอยู่ที่ชั่วโมงละ $19.65 มีการันตีชั่วโมงในการทำงานและ Annual leave  ตามกฎหมาย เราก็จะทำงานอาทิตย์ละ 5 วัน หยุด 2 วันแล้วแต่ตารางงาน  ที่พักทางโรงแรมก็จัดหาให้ฟรีเป็นห้องส่วนตัว และแชร์ห้องน้ำกัน ส่วนอาหารก็มีจัดไว้ให้โดยเสียค่าอาหารอาทิตย์ละ $88 และสามารถเอาอาหารที่เหลือจาก Canteen กลับมาได้เช่นกัน นายจ้างบอกว่าที่เลือกรับเข้ามาทำงานเป็นเพราะส่วนหนึ่งคนไทยขึ้นชื่อในเรื่องของ  Customer  service เช่น การยิ้มหรือการทักทาย รวมถึงตัวเราเองก็มีประสบการณ์ในการทำงานด้านนี้มาจากที่ไทยด้วย

  ชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่เอาจริงๆก็เรียกว่าค่อนข้างกันดารพอสมควร อย่างเช่น น้ำที่ใช้ก็จะเป็นน้ำบาดาล ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ อินเตอร์ก็จะใช้เป็นสัญญาณดาวเทียม จะใช้ทีก็ต้องซื้อ 100 MB ราคา $5 สินค้าต่างๆก็จะซื้อผ่าน online จาก Woolworth อาทิตย์ละครั้ง เพราะว่าห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งตลอด 6 เดือนที่ทำงานเราแทบไม่ได้เจอคนไทยคนอื่นๆเลย มันก็มีบ้างที่รู้สึกเหงาแต่ว่าเราก็พยายามหาความสุขให้ตัวเอง อย่างเลิกงานมาก็ปลูกต้นไม้ เลี้ยงนก ส่วนหนึ่งคือว่าเราชอบทำงานด้าน Hospitality ด้วย เพราะสวัสดิการต่างๆดี เช่น ส่วนลดค่าอาหารของพนักงาน หรือตอนครบสัญญา 6 เดือน เราได้รับเงินก้อนมาฟรีๆเนื่องจากไม่ได้ใช้วันลา ประมาณ $1,200 

 จุดเปลี่ยนอีกครั้งกับการพลาดโอกาสในการขอ Second Visa  

  น่าเสียดายมาก เนื่องจากเราหมดสัญญาการทำงานช่วงเดือนตุลาคม แต่เขาประกาศเรื่องการขอ Second  Visa ในช่วงเดือนพฤศจิกายน เราก็พยายามส่งอีเมลล์ไปหา Immigration อธิบายว่าเราทำงานถูกกฎหมาย ตรงตามระเบียบการทุกอย่าง ซึ่งเขาก็ปฏิเสธมาว่าระยะเวลาที่ทำงานต้องเริ่มหลังจากวันที่ประกาศ ไม่สามารถนับย้อนหลังได้ ทีนี้ก็เลยปรึกษากับนายจ้างว่าจะเอาอย่างไรดี เขาเลยแนะนำให้ไปทำงานที่โรงแรมของคนที่รู้จักใน Tasmania ในตำแหน่ง Receptionist เหมือนกัน

  พอเราย้ายมาทำงานที่โรงแรมใน Tasmania นอกจากงาน Reception ที่คอยดูแลแขกแล้ว เราก็ทำงานในห้องอาหารเพิ่มด้วย ซึ่งตอนที่เราย้ายมาทำงานเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ทำให้ห้องอาหารยุ่งมากๆ เฉพาะช่วงปีใหม่ก็ทำงานไปเกือบ 50 ชั่วโมง แต่เงินก็ดีมากเหมือนกัน เพราะที่นี่เราทำงานเป็น Casual เขาก็จะจ่ายมากกว่า แต่ไม่ได้มีสวัสดิการให้ ค่าจ้างอยู่ที่ $23 ต่อชั่วโมง ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดเทศกาลก็จะบวกเพิ่มให้อีก บรรยากาศของ Tasmania ก็จะต่างไปอีกแบบหนึ่ง เพราะธรรมชาติของที่นี่สวยมาก อากาศค่อนข้างเย็น หางานง่าย ไม่กันดารมากนัก ตอนที่เราอยู่ก็ซื้อมารถมาขับเที่ยวช่วงวันหยุด จนช่วงใกล้ๆวีซ่าจะหมดก็ลาออกมาเที่ยวรอบๆออสเตรเลีย เช่น Sydney, Brisbane ก่อนที่จะกลับไทย

 สุดท้ายอยากจะฝากอะไรถึงคนที่กำลังจะมา Work and Holiday

  อยากฝากถึงใครหลายๆคนที่กำลังจะเดินทางมาว่า อย่าเพื่งตัดใจทิ้งงานที่เรามีประสบการณ์ที่ไทย ให้ลองสมัครไปก่อน เผื่อวันหนึ่งเราอาจจะได้งานที่เราตั้งใจไว้ อย่างเราสมัครไปเป็น 100 งาน กว่าจะได้ แต่พอมันได้มา 1 แล้วมันก็ได้ 2 ได้ 3 ตามมาเอง